ซีรี่ย์จบ...คนไม่จบ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ขอบคุณซีรี่ย์เรื่อง Nashville ที่ทำให้ดิชั้นไม่พลาดซีรี่ย์น้ำดีไปเรื่องนึง
คือดู Nashville แ้ล้วชอบ Rayna James ก็เลยดูว่า Connie Britton เคยเล่นเรื่องไรมามั่งเนี่ย รอวีคละตอนไม่ไหวแล้ว
พอไล่ๆดู มี Friday Night Lights หนึ่งในซีรี่ย์ที่คิดว่าจะดูเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดูสักที เพราะติดตรงที่มันคือเมกันฟุตบอล คือไม่ชอบกีฬาชนิดเลย เลยไม่ค่อยอยากจะดูเรื่องนี้สักเท่าไหร่
Friday Night Lights เป็นเรื่องเกี่ยวกับโค้ชอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนมัธยม Eric Taylor ได้ย้ายมาเป็นโค้ชให้โรงเรียนมัธยมใน Texas โค้ชก็มีภรรยา(Tami Taylor)และลูกสาว 1 คน (Julie Taylor)
แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไป เมนหลักของเรื่องอยู่ที่ทีมฟุตบอล นักกีฬาในทีม ปัญหาของวัยรุ่น ปัญหาของครอบครัว ปัญหาของคอมมูนิตี้
ชอบความลงตัวของทุกเรื่องราวที่ดำเนินไป ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ และกีฬาฟุตบอล ที่ตรึงผู้คนในชุมชนนี้ไว้
Best Couple ยกให้ Eric-Tami Taylor เป็น Best Couple ตั้งแต่ดูซีรี่ย์มาเลย
สาบานได้ว่า ตั้งแต่ดูมา ไม่เคยลุ้นให้ใครคบกันนอกจอเลย ถ้าไม่ติดที่ Kyle มีภรรยาและลูกอยู่แล้ว เชียร์คู่นี้จริงๆนะ
คือดูตั้งแต่ตอนแรก เค้าแสดงให้เรารู้สึกได้ว่า คู่นี้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ และอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปีแล้วจริง
มันคือความลงตัว ความลื่นไหลของการแสดง ที่ำทำให้รู้สึกว่า เรากำลังดูชีวิตครอบครัวของโค้ชเทย์เลอร์อยู่จริงๆ ไม่ได้กำลังดูใครแสดงบทบาทให้ดูอยู่ สุดยอดมาก
(แอบแปลกใจ ตอนที่ดูสัมภาษณ์นักแสดงของเรื่องนี้ ที่ถามว่า คู่นี้ Kyle กับ Connie เคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า เพราะเล่นได้เนียนมาก เค้าบอกว่า เจอกันครั้งแรกก็ในกองถ่าย/เทพจริงไรจริง)
สำเนียง คือเรื่องนี้จะมีนักกีฬาเป็นผิวสีเยอะ ตอนเริ่มดูซีรี่ย์แรกๆ จะมีปัญหากับสำเนียงของคนผิวสีมาก เพราะฟังยาก พอเราเริ่มชินกะสำเนียงผิวสีแอลเอ เราก็มาเจอ ผิวสีเท็กซัส อืมม์ไม่ต้องฟังกันเลย เดากันอย่างเดียวงานนี้ เพราะฟังยากมากถึงยากที่สุด
ปัญหาเรื่องเหยียดผิว ในเรื่องจะพูดถึงคนผิวสีที่เป็นส่วนนึงของชุมชน จริงๆปัญหานี้ไม่ไ้ด้หนักมาก แต่ก็ปฏิเสธมันไม่ได้ว่ามันไม่มี ชอบครอบครัวของ Smash มาก Smash เป็นนักกีฬาผิวสีในทีม ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ทุนการศึกษา ฝันของนักกีฬาโรงเรียน ก็เล่นเพื่อจะได้ทุนการศึกษาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยนี่แหละ ตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมเรียนฟรี แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยค่าเทอมโหดมาก
ชอบการเลี้ยงดูของแม่Smash นี่แหละ มีอยู่ตอนนึง เป็นตอนที่ Smash กับแม่ไปขอกู้เงินซื้อบ้าน แล้วเจ้าหน้าที่ไม่อนุมัติบอกให้ติดต่อมาใหม่ แล้ว Smash ก็ระเบิดอารมณ์ แม่ก็สอนลูกตรงนั้นเลย ว่าเป็นคนดำ คนอื่นก็มองเราแย่อยู่แล้ว อย่าแสดงกิริยาอาการให้คนอื่นรู้สึกแย่กับเราเข้าไปอีก ดูแล้วประทับใจจริงๆ
และประทับใจกับการอบรมเลี้ยงดูลูกของคนผิวสีด้วย ถ้าดูซีรี่ย์เมกัน มันจะเห็นความแตกต่างระหว่างครอบครัวคนผิวขาวและผิวสีในการเลี้ยงดูลูก คนผิวสีจะค่อนข้างเหมือนคนไทย แม่จะดุลูก และลูกจะฟัง แต่กับคนขาว บอกตามตรง ว่าไม่ไหวจริงๆ แต่นั่นเค้าอาจจะคิดว่ามันเวิีร์คสำหรับสังคมเค้าก็ได้
ความทุ่มเทในหน้าที่ Tami ทำงานเป็นคล้ายๆครูแนะแนวของไทยนี่แหละ คอยให้คำปรึกษานักเรียนแต่ละคน เรื่องขาดเรียน เรื่องสอบตก เรื่องเรียนต่อ เราชอบความทุ่มเทและความเข้าใจปัญหาวัยรุ่นของ Tami มากๆ ถ้ามีครูแนะแนวอย่างนี้จริงๆ ปัญหาวัยรุ่นคงน้อยกว่านี้มาก
ยิ่งในซีซันห้า ซีซันสุดท้าย ที่ Tami เอาปัญหาที่เจอในการแนะแนวให้นักเรียนในโรงเรียน ไปพูดในงานสัมมนา และก็บอกว่า การที่จะเอาแต่คะแนนมาเป็นเกณฑ์ในการคัดเด็กเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มันไม่ถูกต้อง ควรนำสิ่งอื่นๆมาประกอบด้วย แล้วผู้เข้าร่วมสัมมนาก็บอกว่าเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเด็กคนไหนเหมาะสมจะได้รับคัดเลือก ถ้าเราไม่ดูคะแนนเป็นหลัก Tami ตอบว่า เค้าคุยกับเด็กทุกคนในโรงเรียน คนอื่นก็อึ้ง คงไม่คิดว่าจะมีครูแนะแนวที่ทุ่มเทขนาดนี้
กีฬากับการเปลี่ยนชีิวิต ในซีซันสี่ มีตัวละครใหม่เข้ามา เนื่องจากโค้ชต้องมาทำทีมใหม่ เพราะเมืองDillon โดนแบ่งออกเป็นสอง โค้ชก็โดนกระเด็นออกจากโรงเรียนเดิมต้องมาเริ่มสร้างทีมใหม่ แล้วก็มีนักเรียนอยู่คนนึง ชื่อว่า Vince เป็นนักเรียนเจ้าปัญหา เพราะโดนทัณฑ์บนไปหลายรอบแล้ว ถ้าโดนอีกรอบคือต้องเข้าคุก ตำรวจก็ให้โอกาสเนื่องจากหมอนี้ีวิ่งไวมาก (คงฝึกมาวิ่งหนีตำรวจ) เลยจับไปให้โค้ช แล้วบอกว่า เอามันไปฝึกเป็นนักกีฬาฟุตบอลซะ ถ้าไม่ยอมเล่นฟุตบอล ก็จะจับเข้าคุกล่ะ Vince ยอม Vince มาจากครอบครัวที่พ่อติดคุก แม่ติดยา ไม่มีอาชีพที่แน่นอน ตัวเองต้องดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อดูแลแม่ เลยต้องลักเล็กขโมยน้อย จนโดนจับบ่อยๆ ตอนหลังเพราะโค้ช ทำให้ตัวเองได้มาเล่นฟุตบอล แล้วพัฒนาฝีมือ จนพาทีมคว้าแชมป์ของรัฐได้สำเร็จ
ประทับตอนสุดท้ายที่ Vince ไปพูดกับโค้ชว่า you change my life. ฟังแล้วมันตื้นตัน
กับคนที่แทบจะไม่มีโอกาสในชีวิต สุดท้ายเค้าได้รับโอกาสนั้น จากกีฬาฟุตบอล
วรรคทอง เรื่องนี้มีคำพูดวรรคทองเยอะมาก ที่ประทับใจคือ Texas Forever เป็นคำพูดที่สั้นๆแต่มันบ่งบอกความหมายทั้งหมดแฝงไว้ในนั้น
Clear eyes,Full hearts,Can't lose. พูดถึง FNL ไม่พูดประโยคนี้ไม่ได้
อ้อแล้วก็ชอบคำพูดปลุกใจของโค้ชมาก มันมีความสำคัญจริงนะ คำพูดปลุกใจ ไม่ต้องพูดพล่าม ไม่ต้องพูดยาว พูดสั้นๆ แต่ปลุกใจลูกทีมได้ โค้ชเทย์เลอร์สุดยอด
ตอนประทับใจ ชอบตอนที่ Tami พูดเีกี่ยวกับ Eric ในตอนท้ายของซีซันหนึ่ง ที่พูดว่า เค้าอยู่กับฟุตบอลตลอดเวลา วันหยุดทำไร นั่งดูเทปแข่งฟุตบอล คือตลอดเวลาอยู่กับฟุตบอล ถ้าคนเป็นภรรยาไม่เข้าใจจริงๆ มีหวังเลิกกันได้ง่ายๆนะเนี่ย แล้วการที่อุทิศ เพราะต้องย้ายตลอดเวลา พอได้งานที่ใหม่ ก็ต้องย้าย ทั้งลูกทั้งเมียก็ต้องยอมเสียสละ ลูกก็ต้องเปลี่ยนสังคมใหม่ ในเรื่องก็บอกว่า ย้ายกันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ คือเสียสละกันหมด เพื่อความฝันของพ่อในการเป็นโค้ชฟุตบอลเนี่ย
ในเมื่อทั้งลูกทั้งภรรยาเสียสละให้แล้ว ต้องบอกว่า Eric ก็มีความดีมากๆ ตรงที่เป็นคนรักครอบครัวสุดๆ ตอนเพื่อนมาปรึกษาเรื่องมีชู้ Eric ยังด่าเข้าให้ สุดยอดจริง
ตอนท้ายของซีซันสอง มีตอนนึงชื่อว่า Best Man Win ที่เป็นแฟนเก่าของ Tami โผล่มานั่นแหละ โคตรชอบเลย น่ารักดี
สิ่งที่น่าเบื่อ แบบรักไม่ได้เกลียดไม่ลงคือ เจ้า Tim Riggins เบื่อที่ต้องเก็กหน้าตลอดเวลา เหมือนต้องทำหน้าหล่อตลอดเวลา เดี๊ยนรำคาญอ๊ะ แล้วนิสัยก็เข้าใจยาก แต่ยอมรับว่าเป็นคนดีจริง แต่ขอได้มั๊ย ไม่ต้องเก็กหล่อขนาดนั้น -*-
แมทธิว เวลาพูด อ้าปากนิดนึงไม่มีใครว่าหรอก คือเค้าพูดแบบมันจะพรวดๆๆๆๆๆๆ ไม่ค่อยขยับปาก เลยทำให้ฟังยาก แต่ก็พอจะดำน้ำฟังรู้เรื่องอยู่ ยอมรับอย่างหนึ่งว่าแมทธิวต้องคู่กับจูลี่จริงๆ คู่กะใครไม่ได้ล่ะ คู่นี้เหมาะสมกันดี คนที่เล่นเป็นย่าก็เล่นดี ตอนซีซันแรกที่แมทธิวต้องปลอมเสียงเป็นปู่ เพื่อปลอบใจย่าน่ะ เกือบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวน่ะ ซึ้ง T^T
ไทร่า ชอบตรงที่พยายามเปลี่ยนตัวเอง ถีบตัวเอง เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ภายใต้ครอบครัวแบบนั้น ก็ยอมรับนะ ว่าถ้าจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองได้ เอาชนะแรงต้านทานได้ มันยากนะ แต่ไทร่าทำได้ ด้วยคำแนะนำของ Tami ชื่นชมTami ตรงจุดนี้จริงๆ
เจสันกะไลล่า ไม่ค่อยชอบทั้งคู่ แต่สงสารเจสันนะ สงสารคนเล่นด้วย อุตส่าห์ได้เล่นเป็น QB ตัวสำคัญ แต่ดั๊นประสบอุบัติเหตุตั้งแต่ตอนแรกของเรื่อง กรรมจริง ส่วนไลล่า เอาเหอะ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
ชีวิตวัยรุ่นเมกัน ดูตอนที่ขับรถไปแมกซิโก เห็นแล้ว ขนาดดิชั้นอายุขนาดนี้ ให้ไปทำอย่างนั้นทำไม่ได้แน่ๆ ทำไมเค้ากล้ากันจัง โตกันเร็วเนอะ
สรุปๆ Friday Night Lights เป็นซีรี่ย์น้ำดีอีกเรื่อง ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
ป.ล. รู้สึกว่า ให้กลับไปดู Nashville คงไม่อินกะ Rayna James แล้ว ฮ่าๆ ตอนนี้ชอบ Tami Taylor มาก และแทบจะพูดว่า Y'all ตลอดเวลา ก๊ากๆ
เข้าใจ Hayden แล้ว ที่บอกว่าตอนเล่น Nashville เวลามีฉากปะทะคารมกะ Connie พอผู้กำกับสั่งคัท ตัวเองต้องขอโทษทุกครั้ง เพราะเค้าบอกว่า เค้าเป็นแฟนซีรี่ย์ Friday Night Lights
มาเติมความรู้ท้ายบทความกันหน่อย
Y'all เป็นสำเนียงของทางใต้ มันมาจาก You all แต่เค้าพูดย่อๆเป็น Y'all ซึ่งสำเนียงเมกันเนี่ย หลักๆคือทั่วๆไปที่เราจะได้ยินจากหนัง จากภาพยนตร์ มันจะมีสำเนียงใต้ ที่จะโดดเด่นอีกสำเนียงนึง
ซึ่ง ต้องคนที่ฟังภาษาอังกฤษได้ระดับหนึ่ง จะเริ่มแยกสำเนียงออก สำเนียงใต้ มันจะน่ารักๆ พูดยานๆหน่อย น่ารักดี เวลาดูซีรี่ย์ที่พูดสำเนียงใต้จะรู้สึกถึงความเหน่อ เหมือนเวลาเราดูละครไทยพูดสำเนียงสุพรรณฯก็ไม่ปาน
ถ้าอยากดูซีรี่ย์ที่พูดสำเนียงใต้อีกเรื่อง แนะนำเรื่อง Hart of Dixie เรื่องนี้พูดใต้กันทั้งเรื่องเลย น่ารักแบบบ้านนอกๆเมกันดีค่ะ
American's Football คนเมกัน เค้าจะเรียกกีฬาคนชนคนว่า อเมริกันฟุตบอล เค้าเรียกของเค้าว่าฟุตบอล มันไม่เหมือนฟุตบอลแบบที่คนไทยคลั่ง ถ้าฟุตบอลแบบนี้ อย่าเผลอไปเรียกให้เมกันชนฟังล่ะ เค้าจะเข้าใจว่าเป็นคนชนคน แบบที่ใส่หมวกกันน๊อค มีที่กันกระแทกในเสื้อตัวใหญ่ๆนั่นอ่ะ แบบพวกวิ่งถือลูก วิ่งแล้วโดนทับล้มแล้วหยุดๆ อันนี้เมกันเค้าเรียกว่าฟุตบอล
แต่ไอ้ฟุตบอลแบบที่คนไทยฮิต แบบ 11 คน วิ่งแย่ง เขี่ยลูกบอลลูกเดียว ห้ามเอามือโดนลูก เดี๋ยวจะเป็น hand of god ไปซะฉิบ แบบนี้เมกันเค้าจะเรียกว่า Soccer
ดังนั้น เวลาคุยกะคนเมกัน ถ้าเค้าพูดว่าฟุตบอล ให้นึกถึงศึกคนชนคน แบบใส่หมวกกันน๊อค แล้วถ้าเราอยากจะคุยเรื่องกีฬา่ฟุตบอลแบบคนไทยฮิต ให้เรียกว่า Soccer จะได้เข้าใจกันถูกต้อง
Soccer ที่เมกา มันจะฮิตในหมู่ผู้หญิง กลายเป็นกีฬาที่ผู้หญิงเล่น
แล้วจากในเรื่อง เราจะสังเกตว่า Texas น่าจะมีพวกลาตินอยู่เยอะ เพราะติดชายแดนแมกซิโกเลย แต่เรากลับไม่ค่อยเห็นลาติโน่เล่นฟุตบอล มีโผล่มาในซีซันสองคนเดียว
เราเดาเอาเองว่า พวกลาติโน่ น่าจะชอบsoccer มากกว่า
Tuesday, November 20, 2012
Friday, August 24, 2012
The Newsroom แนะนำซีรี่ย์อย่างเป็นทางการ
The Newsroom น่าจะเป็นซีรี่ย์ของปีนี้ที่ถูกจับตามองมากที่สุด เพราะชื่อของ Aaron Sorkin แท้ๆ
เพราะเรื่องนี้คือผลงานล่าสุดของ Sorkin
Sorkin เคยฝากผลงานไว้เป็นที่จดจำคือ The West Wing คอซีรี่ย์ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่น่าจะพลาด (ถ้าชอบแนวนี้)
หรือ The Social Network ผลงานหนังที่กวาดรางวัล (อ่านมาผ่านๆว่าได้รางวัลจากเรื่องนี้ แต่เนื่องจากเราไม่ได้ดูหนัง เรื่องนี้เลยยังไม่ได้ดู)
เรื่องย่อ The Newsroom หรือ ห้องข่าว (ชื่อตรงๆเลย ฮ่าๆ)
เป็นเบื้องหลังของรายการข่าวภาคกลางคืนของช่องข่าวเคเบิ้ลที่ชื่อว่า ACN
มีผู้ประกาศข่าวชื่อดังคือ Will McAvoy (นำแสดงโดย Jeff Daniels) ซึ่งมีเรตติ้งเป็นอันดับสอง
การนำเสนอข่าวของเรื่องนี้ นำเอาเหตุการณ์จริงมาเสนอ ในมุมมองของคนทำข่าวเบื้องหลัง
ตอนแรกเป็นการนำเสนอเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP oil ระเบิดนอกชายฝั่ง (ปี 2010)
และยังมีข่าวอื่นๆที่เด่นๆ เช่น การจับตายโอซาม่า บินลาเดน , การชนะการเลือกตั้งกลางเทอมของรีพลับบลิกัน , การเสียดสี Tea Party , หรือข่าวส.ส.หญิง โดนยิง , การประท้วงในอียิปต์ และอีกหลายๆข่าว
พร้อมกับการเมืองภายในของช่องเอง เรื่องที่ผู้บริหารสถานีไม่พอใจการนำเสนอข่าว Tea Party และหาเรื่องจะไล่ Will ออก
นอกจากเรื่องข่าวแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ของทีมงานก็น่าสนใจ
ซีรี่ย์เรื่องนี้ลงตัวทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ฉายทางช่อง HBO ในช่วงซัมเมอร์(สำหรับเมืองไทย ทรูฉายนะคะ แต่ไม่รู้ว่ามีซับไทยรึเปล่า)
ซีซัน 1 มีทั้งหมด 10 ตอน วันจันทร์ที่จะถึงนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้ว
ซีซัน 2 ได้รับการ renew อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ได้ฉายตอนแรก
น่าจะเป็นเพราะการเปิดตัวได้อย่างอื้อหือ ด้วยคลิปนี้
ดูผลงานของ Sorkin ต้องทำใจไว้อย่างว่า มันมีลูกเล่นของภาษา ความคมคายของบทสนทนาระหว่างตัวละคร เป็นซีรี่ย์ที่ต้องใช้ความพยายามในการดูอย่างสูง คือ 1 แม้จะมีซับอังกฤษดูแล้ว รอบแรก ต้องดูเพื่อทำความเข้าใจว่ามันแปลเป็นไทยว่าอะไร 2 ดูเพื่อทำความเข้าใจว่า เค้าต้องการสื่ออะไร
3 เรื่องเหตุการณ์ข่าวในซีรี่ย์ แม้จะมีข่าวประเทศอื่นๆแทรกบ้าง แต่หลักๆ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอเมริกา ถ้าไม่ได้ดูข่าว อาจจะงง ใครเป็นใคร โดยเฉพาะในแวดวงการเมืองของเค้า กฎหมายของบ้านเค้า ที่เราอาจจะไม่เข้าใจ
ดังนั้น จะดูให้สนุก ถ้ามองข้ามความเข้าใจพวกนี้ไปได้ ดูเอาความคมคายการสนทนาของตัวละคร ก็ยังพอสนุกกล้อมแกล้มไปได้อยู่ (เราเป็นพวกหลัง คือข่าวก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่ชอบเรื่องของตัวละครมากกว่า การต่อปากต่อคำกัน มันสนุกดี)
แนะนำตัวละครที่น่าสนใจ
Will McAvoy (Jeff Daniels) ผู้ประกาศข่าวทีวี เรตติ้งอันดับสอง Will เป็นคนเก่ง ข้อมูลด้านข่าวในหัวเยอะมาก ด้วยประสบการณ์ของการเป็นผู้ประกาศข่าว แน่นอนว่าสุดยอด แต่เรื่องส่วนตัว เปิดตัวด้วยความเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจ ชื่อทีมงานยังจำไม่ได้ หลังจากที่ระเบิดอารมณ์ในคลิปข้างบน Will น่าจะมีอะไรที่คิดได้ ประกอบกับ การได้ EP คนใหม่มาร่วมงาน
McKenzie McHale (Emily Mortimer) Execusive Producer มือรางวัล แต่หายหน้าหายตาไปทำข่าวอยู่อิรัก อัฟกานิสถาน อยู่สามปี แต่ต้องการกลับมาอยู่ห้องข่าว Charlies เจ้านายของ Will เลยเรียกตัวมาทำงาน
McKenzie เป็นอดีตคนรักเก่าของ Will แต่มีเหตุให้ต้องเลิกรากันไป แต่ไม่ได้เลิกกันด้วยดี ก็เลยอาจจะดูแปลกๆเมื่อกลับมาร่วมงานกันใหม่ :)
Sloan Sabbith (Olivia Munn) ผู้ประกาศข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงดร. ประกาศข่าวอยู่ช่วงสาย ก็โดน MacKenzie เรียกมาช่วยอ่านข่าวเศรษฐกิจในช่วงสองทุ่ม
Jim Harper (John Gallagher) Senior Producer Jim ติดตาม McKenzie ไปทำข่าวภาคสนามที่อิรัก โดนดึงมาทำงานนี้ด้วย
Neal Sampat (Dev Patel) คนเขียนบลอกให้ Will :) เป็นอีกตัวละครนึงที่น่าสนใจ เพราะมีเรื่องแปลกๆมานำเสนออยู่ตลอดเวลา อย่าง The BigFoot เป็นต้น -*-
Margaret Jordan (Alison Pill) หรือ Maggie ผู้ช่วยของ Will และคบอยู่กะ Don (EP คนเก่าของ Will ซึ่งได้ย้ายไปทำข่าวช่วงสี่ทุ่มแทน)
Don Keefer (Thomas Sadoski) อดีตEP ของ Will และเคยร่วมงานกะ MacKenzie มาก่อน ตอนนี้ย้ายไปเป็น EP ของข่าวสี่ทุ่มแทน คบอยู่กะ Maggie
ทิ้งท้ายเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่อ่านมาจากหลายๆที่
นักแสดงส่วนใหญ่ในเรื่องนี้มาจากบรอดเวย์ อ่าน Q&A ของ Jeff บอกว่า นักแสดงบรอดเวย์จะแม่นเรื่องบทมาก
คำถามเรื่องการท่องบท (เอาแค่เราเป็นคนดู ยังรู้สึกว่า บทมันยาวมาก ท่องกันยังไง) Jeff บอกว่าพอได้บทมา ใช้เวลา 7 วันแรก ต้องท่องบทให้ได้ ส่วน 7 วันหลัง คือวันที่ถ่ายทำ
เวลาไปกองถ่าย จะเหมือนทุกคนเป็นบ้า เพราะยืนพูดคนเดียว (กำลังท่องบทอยู่)
ถ้าชอบจริงๆ แนะนำว่าให้ดูคลิปที่ชื่อว่า The Newsroom inside the episode จะเป็นคอมเม้นท์ของ Sorkin ที่พูดถึงแต่ละตอนว่าเป็นยังไง
คำวิจารณ์จากเมืองนอก ในความเห็นเราที่อ่านบทวิจารณ์ทุกตอน จะรู้ึสึกขัดใจ คือส่วนมากเค้าจะบอกว่า มันเกินจริง มันไม่สมจริง มันอย่างงู้นอย่างงี้ คุณพี่หาเรื่องติกันทุกตอน -*-
อ้อ เรื่องที่ติมากๆอย่างเห็นได้ชัดคือ การทำให้แคเรคเตอร์ของตัวละครหญิงดูงี่เง่า (เ่อ่อ เราก็ว่าจริง เพราะทั้ง MacKenzie ทั้ง Maggie ดูแย่จริงๆ ช่วงต้นๆ มี Sloan รอดอยู่คนเดียว)
เพราะเรื่องนี้คือผลงานล่าสุดของ Sorkin
Sorkin เคยฝากผลงานไว้เป็นที่จดจำคือ The West Wing คอซีรี่ย์ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่น่าจะพลาด (ถ้าชอบแนวนี้)
หรือ The Social Network ผลงานหนังที่กวาดรางวัล (อ่านมาผ่านๆว่าได้รางวัลจากเรื่องนี้ แต่เนื่องจากเราไม่ได้ดูหนัง เรื่องนี้เลยยังไม่ได้ดู)
เรื่องย่อ The Newsroom หรือ ห้องข่าว (ชื่อตรงๆเลย ฮ่าๆ)
เป็นเบื้องหลังของรายการข่าวภาคกลางคืนของช่องข่าวเคเบิ้ลที่ชื่อว่า ACN
มีผู้ประกาศข่าวชื่อดังคือ Will McAvoy (นำแสดงโดย Jeff Daniels) ซึ่งมีเรตติ้งเป็นอันดับสอง
การนำเสนอข่าวของเรื่องนี้ นำเอาเหตุการณ์จริงมาเสนอ ในมุมมองของคนทำข่าวเบื้องหลัง
ตอนแรกเป็นการนำเสนอเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP oil ระเบิดนอกชายฝั่ง (ปี 2010)
และยังมีข่าวอื่นๆที่เด่นๆ เช่น การจับตายโอซาม่า บินลาเดน , การชนะการเลือกตั้งกลางเทอมของรีพลับบลิกัน , การเสียดสี Tea Party , หรือข่าวส.ส.หญิง โดนยิง , การประท้วงในอียิปต์ และอีกหลายๆข่าว
พร้อมกับการเมืองภายในของช่องเอง เรื่องที่ผู้บริหารสถานีไม่พอใจการนำเสนอข่าว Tea Party และหาเรื่องจะไล่ Will ออก
นอกจากเรื่องข่าวแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ของทีมงานก็น่าสนใจ
ซีรี่ย์เรื่องนี้ลงตัวทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ฉายทางช่อง HBO ในช่วงซัมเมอร์(สำหรับเมืองไทย ทรูฉายนะคะ แต่ไม่รู้ว่ามีซับไทยรึเปล่า)
ซีซัน 1 มีทั้งหมด 10 ตอน วันจันทร์ที่จะถึงนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้ว
ซีซัน 2 ได้รับการ renew อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ได้ฉายตอนแรก
น่าจะเป็นเพราะการเปิดตัวได้อย่างอื้อหือ ด้วยคลิปนี้
ดูผลงานของ Sorkin ต้องทำใจไว้อย่างว่า มันมีลูกเล่นของภาษา ความคมคายของบทสนทนาระหว่างตัวละคร เป็นซีรี่ย์ที่ต้องใช้ความพยายามในการดูอย่างสูง คือ 1 แม้จะมีซับอังกฤษดูแล้ว รอบแรก ต้องดูเพื่อทำความเข้าใจว่ามันแปลเป็นไทยว่าอะไร 2 ดูเพื่อทำความเข้าใจว่า เค้าต้องการสื่ออะไร
3 เรื่องเหตุการณ์ข่าวในซีรี่ย์ แม้จะมีข่าวประเทศอื่นๆแทรกบ้าง แต่หลักๆ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอเมริกา ถ้าไม่ได้ดูข่าว อาจจะงง ใครเป็นใคร โดยเฉพาะในแวดวงการเมืองของเค้า กฎหมายของบ้านเค้า ที่เราอาจจะไม่เข้าใจ
ดังนั้น จะดูให้สนุก ถ้ามองข้ามความเข้าใจพวกนี้ไปได้ ดูเอาความคมคายการสนทนาของตัวละคร ก็ยังพอสนุกกล้อมแกล้มไปได้อยู่ (เราเป็นพวกหลัง คือข่าวก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่ชอบเรื่องของตัวละครมากกว่า การต่อปากต่อคำกัน มันสนุกดี)
แนะนำตัวละครที่น่าสนใจ
Will McAvoy (Jeff Daniels) ผู้ประกาศข่าวทีวี เรตติ้งอันดับสอง Will เป็นคนเก่ง ข้อมูลด้านข่าวในหัวเยอะมาก ด้วยประสบการณ์ของการเป็นผู้ประกาศข่าว แน่นอนว่าสุดยอด แต่เรื่องส่วนตัว เปิดตัวด้วยความเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจ ชื่อทีมงานยังจำไม่ได้ หลังจากที่ระเบิดอารมณ์ในคลิปข้างบน Will น่าจะมีอะไรที่คิดได้ ประกอบกับ การได้ EP คนใหม่มาร่วมงาน
McKenzie McHale (Emily Mortimer) Execusive Producer มือรางวัล แต่หายหน้าหายตาไปทำข่าวอยู่อิรัก อัฟกานิสถาน อยู่สามปี แต่ต้องการกลับมาอยู่ห้องข่าว Charlies เจ้านายของ Will เลยเรียกตัวมาทำงาน
McKenzie เป็นอดีตคนรักเก่าของ Will แต่มีเหตุให้ต้องเลิกรากันไป แต่ไม่ได้เลิกกันด้วยดี ก็เลยอาจจะดูแปลกๆเมื่อกลับมาร่วมงานกันใหม่ :)
Sloan Sabbith (Olivia Munn) ผู้ประกาศข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงดร. ประกาศข่าวอยู่ช่วงสาย ก็โดน MacKenzie เรียกมาช่วยอ่านข่าวเศรษฐกิจในช่วงสองทุ่ม
Jim Harper (John Gallagher) Senior Producer Jim ติดตาม McKenzie ไปทำข่าวภาคสนามที่อิรัก โดนดึงมาทำงานนี้ด้วย
Neal Sampat (Dev Patel) คนเขียนบลอกให้ Will :) เป็นอีกตัวละครนึงที่น่าสนใจ เพราะมีเรื่องแปลกๆมานำเสนออยู่ตลอดเวลา อย่าง The BigFoot เป็นต้น -*-
Margaret Jordan (Alison Pill) หรือ Maggie ผู้ช่วยของ Will และคบอยู่กะ Don (EP คนเก่าของ Will ซึ่งได้ย้ายไปทำข่าวช่วงสี่ทุ่มแทน)
Don Keefer (Thomas Sadoski) อดีตEP ของ Will และเคยร่วมงานกะ MacKenzie มาก่อน ตอนนี้ย้ายไปเป็น EP ของข่าวสี่ทุ่มแทน คบอยู่กะ Maggie
ทิ้งท้ายเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่อ่านมาจากหลายๆที่
นักแสดงส่วนใหญ่ในเรื่องนี้มาจากบรอดเวย์ อ่าน Q&A ของ Jeff บอกว่า นักแสดงบรอดเวย์จะแม่นเรื่องบทมาก
คำถามเรื่องการท่องบท (เอาแค่เราเป็นคนดู ยังรู้สึกว่า บทมันยาวมาก ท่องกันยังไง) Jeff บอกว่าพอได้บทมา ใช้เวลา 7 วันแรก ต้องท่องบทให้ได้ ส่วน 7 วันหลัง คือวันที่ถ่ายทำ
เวลาไปกองถ่าย จะเหมือนทุกคนเป็นบ้า เพราะยืนพูดคนเดียว (กำลังท่องบทอยู่)
ถ้าชอบจริงๆ แนะนำว่าให้ดูคลิปที่ชื่อว่า The Newsroom inside the episode จะเป็นคอมเม้นท์ของ Sorkin ที่พูดถึงแต่ละตอนว่าเป็นยังไง
คำวิจารณ์จากเมืองนอก ในความเห็นเราที่อ่านบทวิจารณ์ทุกตอน จะรู้ึสึกขัดใจ คือส่วนมากเค้าจะบอกว่า มันเกินจริง มันไม่สมจริง มันอย่างงู้นอย่างงี้ คุณพี่หาเรื่องติกันทุกตอน -*-
อ้อ เรื่องที่ติมากๆอย่างเห็นได้ชัดคือ การทำให้แคเรคเตอร์ของตัวละครหญิงดูงี่เง่า (เ่อ่อ เราก็ว่าจริง เพราะทั้ง MacKenzie ทั้ง Maggie ดูแย่จริงๆ ช่วงต้นๆ มี Sloan รอดอยู่คนเดียว)
Monday, August 6, 2012
ธรรมะจากซีรี่ย์ The Newsroom season 1 episode 7 - 5/1
The Newsroom ตอนนี้เป็นตอนต่อเนื่องจากเหตุการณ์ช็อคโลก 911 เป็นการแถลงข่าวเรื่องจับตายอุซาม่า บินลาเดน
ชอบหลายๆฉากของตอนนี้มาก
ฉากที่ดอน บอกกัปตัน ว่าตัวเค้าและเพื่อนที่ิบินมาด้วยกัน เป็นทีมข่าวของช่องเคเบิ้ล และได้รับข่าวล่วงหน้า ก่อนที่จะมีแถลงอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาวว่า ตอนนี้หน่วยรบพิเศษ ได้ทำการจับตาย บินลาเดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะอุตสาหกรรมการบิน ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของเหตุการณ์ครั้งนั้น
อีกฉากคือ แถลงการณ์จริงๆของโอบาม่า คำพูดอยู่ประโยคนึง ฟังแล้วสะท้อนใจเลย ว่าตอนเหตุการณ์ครั้งนั้น เรานี่คิดได้เลวจริงๆ
คำพูดประโยคนั้นคือ
The children grow up without their mother or father.
เด็กๆที่โตขึ้นมา โดยที่ขาดแม่หรือพ่อ (ซึ่งต้องตายเพราะเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ครั้งนั้น)
พอฟังประโยคนั้นปั๊บ ฉับพลัน สมองมันก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้น ภาพเครื่ิองบินที่บินชนตึก ความรู้สึกสะใจตอนนั้น
ตอนนี้คิดได้แล้ว ตอนนั้นเราบาปจริงๆ ที่คิดแค่ว่าสะใจ
ทั้งๆที่ มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย เหยื่อที่เคราะห์ร้าย กะผู้ก่อการร้ายที่ต้องการแก้แค้น แต่กลับไปลงที่ผู้บริสุทธิ์
สุดท้าย ขอไว้อาลัยแด่การจากไปของเหยื่อผู้บริสุทธิ์กว่าสองพันกว่าคน อย่างเป็นทางการ
ดูซีรี่ย์ก็ยังสามารถหาธรรมะจากมันได้
ชอบหลายๆฉากของตอนนี้มาก
ฉากที่ดอน บอกกัปตัน ว่าตัวเค้าและเพื่อนที่ิบินมาด้วยกัน เป็นทีมข่าวของช่องเคเบิ้ล และได้รับข่าวล่วงหน้า ก่อนที่จะมีแถลงอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาวว่า ตอนนี้หน่วยรบพิเศษ ได้ทำการจับตาย บินลาเดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะอุตสาหกรรมการบิน ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของเหตุการณ์ครั้งนั้น
อีกฉากคือ แถลงการณ์จริงๆของโอบาม่า คำพูดอยู่ประโยคนึง ฟังแล้วสะท้อนใจเลย ว่าตอนเหตุการณ์ครั้งนั้น เรานี่คิดได้เลวจริงๆ
คำพูดประโยคนั้นคือ
The children grow up without their mother or father.
เด็กๆที่โตขึ้นมา โดยที่ขาดแม่หรือพ่อ (ซึ่งต้องตายเพราะเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ครั้งนั้น)
พอฟังประโยคนั้นปั๊บ ฉับพลัน สมองมันก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้น ภาพเครื่ิองบินที่บินชนตึก ความรู้สึกสะใจตอนนั้น
ตอนนี้คิดได้แล้ว ตอนนั้นเราบาปจริงๆ ที่คิดแค่ว่าสะใจ
ทั้งๆที่ มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย เหยื่อที่เคราะห์ร้าย กะผู้ก่อการร้ายที่ต้องการแก้แค้น แต่กลับไปลงที่ผู้บริสุทธิ์
สุดท้าย ขอไว้อาลัยแด่การจากไปของเหยื่อผู้บริสุทธิ์กว่าสองพันกว่าคน อย่างเป็นทางการ
ดูซีรี่ย์ก็ยังสามารถหาธรรมะจากมันได้
Friday, July 27, 2012
ตั้งป้อม...
สืบเนื่องจากเรื่องการนับถือศาสนาที่เคยเขียนเอาไว้ ว่าเข้าไปเถียงกะคนที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนา
มาวันนี้มีประเด็นในหว้ากอร้อนๆอีกแล้ว เป็นเรื่องหมอดู ET
ซึ่งเราก็ดันเป็นฝ่ายตั้งป้อมว่าไม่เชื่อหมอดูเหมือนกัน
แต่ก็มีคนที่เคยไปดูมาจริง มาบอกว่าเค้าเชื่อมากๆ พออ่านๆไป รู้สึกว่า เออ มันก็เหมือนในกระทู้นับถือศาสนานั่นแหละ
แต่เราเปลี่ยนข้างมาอยู่ในฝ่ายที่ตั้งป้อมว่าหมอดูหลอกลวงเหมือนกัน
เลยมีความรู้สึกว่า เข้าใจทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายที่ไม่เชื่อ และฝ่ายที่เชื่อ
ต่างคนก็ต่างมีความเชื่อของตนเอง
นั่นก็คือตัวตนของคนๆนั้นที่ยังยึดไว้อยู่นั่นเอง
พอเห็นดังนี้แล้ว ต่อไปเราคงจะยึดน้อยลงไปเอง
มาวันนี้มีประเด็นในหว้ากอร้อนๆอีกแล้ว เป็นเรื่องหมอดู ET
ซึ่งเราก็ดันเป็นฝ่ายตั้งป้อมว่าไม่เชื่อหมอดูเหมือนกัน
แต่ก็มีคนที่เคยไปดูมาจริง มาบอกว่าเค้าเชื่อมากๆ พออ่านๆไป รู้สึกว่า เออ มันก็เหมือนในกระทู้นับถือศาสนานั่นแหละ
แต่เราเปลี่ยนข้างมาอยู่ในฝ่ายที่ตั้งป้อมว่าหมอดูหลอกลวงเหมือนกัน
เลยมีความรู้สึกว่า เข้าใจทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายที่ไม่เชื่อ และฝ่ายที่เชื่อ
ต่างคนก็ต่างมีความเชื่อของตนเอง
นั่นก็คือตัวตนของคนๆนั้นที่ยังยึดไว้อยู่นั่นเอง
พอเห็นดังนี้แล้ว ต่อไปเราคงจะยึดน้อยลงไปเอง
Saturday, July 7, 2012
whom or which
MacKenzie: You know, I was watching you earlier
when you were talking about two companies... Capital One and, um...
- Baxter.
And the prompter said, "both of whom are hinting at good numbers,"
and you said, "both of which are hinting at good numbers."
- Was that an accident?
- No. I didn't write that copy.
I changed it to "which"
because "whom" is for people.
What's the difference between a corporation and a person?
Have you ever held a door open for someone?
Yes.
- Did you ask them for money first?
- No.
- That's the difference.
- That's the right answer.
ที่ยกมาข้างต้นเป็นประโยคที่สนทนากันระหว่างแมคเคนซี่ กะ สโลน จากซีรี่ย์ใหม่หมาดๆ เพราะเพิ่งฉายแค่สองตอน
The Newsroom
เป็นเรื่องเกี่ยวกับเบื้องหลังรายการข่าวภาคค่ำชื่อดัง ของเคเบิ้ลใหญ่ช่องหนึ่ง
บทสนทนานี้เป็นของแมคกะสโลน แมคเป็นโปรดิวเซอร์รายการข่าวภาคค่ำ ยืนดูสโลนที่กำลังรายงานข่าวเศรษฐกิจภาคเช้าอยู่
แล้วถามสโลนว่า ในจอพรอมเตอร์(เป็นจอที่เอาไว้ให้ผู้ประกาศอ่านระหว่างออกอากาศ) เขียนว่า ระหว่างสองบริษัทนี้ ใครจะได้ตัวเลขที่ดีกว่า (ตัวเลขนี่แปลได้หลากหลายมาก ต้องดูบริบทว่ามันจะแปลว่าอะไร)
คือแมคถามสโลนว่าในจออ่ะ มันขึ้นว่า Whom ซึ่งเป็นคำเชื่อมที่ใช้กะบุคคล แต่ทำไมสโลนอ่านออกอากาศว่า Which ซึ่งเป็นคำเชื่อมทีี่ใช้กะสิ่งของ
ถามว่าตั้งใจให้เป็นอย่างงั้นรึเปล่า
สโลนตอบว่า ที่เปลี่ยนจาก whom เป็น Which ก็เพราะว่า whom ใช้กะคน แต่ which ใช้กะสิ่งของ
แมคก็เลยถามต่อว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่าง บริษัทกะบุคคล
สโลนเลยถามแมคว่า คุณเคยเปิดประตูให้ใครมั๊ย
แมคตอบว่า เคย
แล้วคุณเคยขอให้เค้าจ่ายเงินก่อนเปิดประตูรึเปล่า
แมคตอบว่า ไม่เคย
สโลนเลยบอกว่า นั่นแหละ ความแตกต่างระหว่าง บริษัท (ที่คิดถึงแต่เรื่องเงินก่อน) กะบุคคล
ปล. อยากเขียนแนะนำถึง The Newsroom แบบเต็มๆนะ แต่เพิ่งออกมาแค่ 2 ตอนเอง ขอดูสักห้าตอนก่อน แล้วจะมาเขียนแบบเต็มๆ
What do you expect when you're expecting?
ถ้าเป็นคนรู้ภาษาอังกฤษระดับปานกลาง น่าจะแปลว่า "คุณคาดหวังอะไร เวลาที่คุณกำลังคาดหวัง"
ถ้าเป็นคนรู้ภาษาอังกฤษระดับแอดวานซ์หน่อย จะรู้ว่าผิด (อนุญาตให้ยิ้มมุมปาก 1 ที)
จากประโยคขั้นต้นเป็นการเล่นคำว่า expect ซึ่ง แปลว่า คาดหวัง
expect ตัวแรกน่ะใช่ แต่ตัวหลังอ่ะ มันไม่ใช่
มาท้าวความถึงความหมายของคำว่า expect ที่เราคุ้นเคยกันดีกว่า
ตัวอย่างเช่น
Bob มาคุยกะ Lee ที่บ้าน ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น
Bob จึงถาม Lee ว่า "Do you expecting someone?"
ซึ่งแปลได้ว่า มีใครนัดหมายกะคุณไว้รึเปล่า มีคนบอกไว้ก่อนว่าจะมาหาคุณรึเปล่า เป็นต้น
หรืออีกตัวอย่างนึง
ลูกสาวทำหน้ากรุ้มกริ่ม ประมาณว่า จะอ้อนขออะไรจากแม่
แม่ก็ดักคอไว้ก่อน
Do you expecting something from me?
ประมาณว่า แม่รู้นะ ทำแบบนี้ อยากได้อะไรใช่มั๊ย
เห็นมั๊ย จากสองตัวอย่าง ความหมายมันไปในทางเดียวกัน
แต่มันก็ไม่ใช่ความหมายจากหัวข้อบลอกอันนี้อยู่ดี
สองวันก่อน กำลังเอนจอยกะการอ่านข่าวทั้งหลายจาก Flipboard ก็มีข่าวอะเดล ขึ้นหัวข้อข่าว ความว่า
"Adele expecting first child"
วันถัดมา ก็มีข่าวว่า "Clair expecting first child"
จากที่อ่านหัวข้อข่าวก็นึกว่า เออ เค้าหวังจะมีลูกคนแรก
ก็คิดมาแบบนี้ตลอด
จนมาอ่านที่มีคนแปลข่าวว่า "กำลังตั้งท้องลูกคนแรก"
อ่านแล้วเหวอเลย ไอ้ที่คิดว่าเราแปลถูก นี่ผิดไปคนละความหมายเลย
เราแปลว่า เค้าคิดจะมีลูก แต่ในความจริงคือ กำลังตั้งท้องอยู่ อูว์ .. ความรู้ใหม่สุดๆ
เพราะคำว่าท้อง คนไทยจะคุ้นกันอยู่คำเดียวคือ pregnant แปลว่าตั้งครรภ์
เวลาใช้ก็จะประมาณว่า I'm pregnant.
หรือพวกตรวจการตั้งครรภ์ เค้าจะใช้คำว่า Pregnancy test
ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า expecting แปลว่ากำลังตั้งท้อง ความหมายมันเกือบจะได้ แต่มันไม่ได้อ๊ะ
วกกลับมาที่หัวข้อบลอก
What do you expect when you're expecting เป็นชื่อหนังสือขายดีอย่างยาวนานของอเมริกา และตอนนี้ทำเป็นหนังและกำลังฉายอยู่ในโรงขณะนี้ (แต่ไม่รู้ออกไปรึยัง)
ที่รู้เพราะดูซีรี่ย์ the practice ตอนที่อิลินอร์สั่งหนังสือเล่มนี้มา แล้วคนที่ทำธุรการจำชื่อไม่ได้ คิดว่าเป็นของลินเซ่ย์ แต่อิลินอร์บอกเค้ากำลังตั้งท้องอยู่
คือถ้าไปเมกา ก็อย่าถือหนังสือเล่มนี้ เดี๋ยวคนจะคิดว่ากำลังท้องอยู่ เพราะเหมือนคนท้องทุกคนต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เลย
ก็ขนาดขึ้นอันดับหนังสือขายดีอย่างยาวนาน เกือบจะซื้อมาอ่านเหมือนกัน แต่พอรู้ว่า มันสำหรับคนท้องอ่าน เลยคิดว่า อย่าอ่านเลย คงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน ฮ่าๆ ฮาเงิบ...
ถ้าเป็นคนรู้ภาษาอังกฤษระดับแอดวานซ์หน่อย จะรู้ว่าผิด (อนุญาตให้ยิ้มมุมปาก 1 ที)
จากประโยคขั้นต้นเป็นการเล่นคำว่า expect ซึ่ง แปลว่า คาดหวัง
expect ตัวแรกน่ะใช่ แต่ตัวหลังอ่ะ มันไม่ใช่
มาท้าวความถึงความหมายของคำว่า expect ที่เราคุ้นเคยกันดีกว่า
ตัวอย่างเช่น
Bob มาคุยกะ Lee ที่บ้าน ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น
Bob จึงถาม Lee ว่า "Do you expecting someone?"
ซึ่งแปลได้ว่า มีใครนัดหมายกะคุณไว้รึเปล่า มีคนบอกไว้ก่อนว่าจะมาหาคุณรึเปล่า เป็นต้น
หรืออีกตัวอย่างนึง
ลูกสาวทำหน้ากรุ้มกริ่ม ประมาณว่า จะอ้อนขออะไรจากแม่
แม่ก็ดักคอไว้ก่อน
Do you expecting something from me?
ประมาณว่า แม่รู้นะ ทำแบบนี้ อยากได้อะไรใช่มั๊ย
เห็นมั๊ย จากสองตัวอย่าง ความหมายมันไปในทางเดียวกัน
แต่มันก็ไม่ใช่ความหมายจากหัวข้อบลอกอันนี้อยู่ดี
สองวันก่อน กำลังเอนจอยกะการอ่านข่าวทั้งหลายจาก Flipboard ก็มีข่าวอะเดล ขึ้นหัวข้อข่าว ความว่า
"Adele expecting first child"
วันถัดมา ก็มีข่าวว่า "Clair expecting first child"
จากที่อ่านหัวข้อข่าวก็นึกว่า เออ เค้าหวังจะมีลูกคนแรก
ก็คิดมาแบบนี้ตลอด
จนมาอ่านที่มีคนแปลข่าวว่า "กำลังตั้งท้องลูกคนแรก"
อ่านแล้วเหวอเลย ไอ้ที่คิดว่าเราแปลถูก นี่ผิดไปคนละความหมายเลย
เราแปลว่า เค้าคิดจะมีลูก แต่ในความจริงคือ กำลังตั้งท้องอยู่ อูว์ .. ความรู้ใหม่สุดๆ
เพราะคำว่าท้อง คนไทยจะคุ้นกันอยู่คำเดียวคือ pregnant แปลว่าตั้งครรภ์
เวลาใช้ก็จะประมาณว่า I'm pregnant.
หรือพวกตรวจการตั้งครรภ์ เค้าจะใช้คำว่า Pregnancy test
ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า expecting แปลว่ากำลังตั้งท้อง ความหมายมันเกือบจะได้ แต่มันไม่ได้อ๊ะ
วกกลับมาที่หัวข้อบลอก
What do you expect when you're expecting เป็นชื่อหนังสือขายดีอย่างยาวนานของอเมริกา และตอนนี้ทำเป็นหนังและกำลังฉายอยู่ในโรงขณะนี้ (แต่ไม่รู้ออกไปรึยัง)
ที่รู้เพราะดูซีรี่ย์ the practice ตอนที่อิลินอร์สั่งหนังสือเล่มนี้มา แล้วคนที่ทำธุรการจำชื่อไม่ได้ คิดว่าเป็นของลินเซ่ย์ แต่อิลินอร์บอกเค้ากำลังตั้งท้องอยู่
คือถ้าไปเมกา ก็อย่าถือหนังสือเล่มนี้ เดี๋ยวคนจะคิดว่ากำลังท้องอยู่ เพราะเหมือนคนท้องทุกคนต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เลย
ก็ขนาดขึ้นอันดับหนังสือขายดีอย่างยาวนาน เกือบจะซื้อมาอ่านเหมือนกัน แต่พอรู้ว่า มันสำหรับคนท้องอ่าน เลยคิดว่า อย่าอ่านเลย คงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน ฮ่าๆ ฮาเงิบ...
Sunday, July 1, 2012
คนเราจำเป็นต้องนับถือศาสนาหรือไม่?
ตามกระทู้นี้มาสองวัน
สรุปอย่างย่อๆ จขกทเค้าถามว่า มันผิดไหม ถ้าเค้าจะไม่นับถือศาสนาใดๆเลย
และมีไหมที่คนไม่นับถือศาสนาจะมีชีวิตอย่างเป็นสุขและอยู่อย่างสบาย (เงินทองไม่ขาดมือว่างั้นเหอะ)
ไอ้ประเด็นหลังไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึง
ประเด็นคือ ความเห็นนี้น่าสนใจมาก
คนเราดีได้โดยที่ไม่ต้องมีศาสนา ที่จริงคนจะดีอย่างแท้จริงได้ต้องไม่มีศาสนา การมีศาสนามาออกบทลงโทษหรือรางวัล มันก็แค่ทำให้คนเห็นแก่ตัวแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา เพียงแต่เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวกว่าที่จะได้เฉพาะหน้าก็เท่านั้น น้องยังคงไม่เข้าใจ ก็แนะนำไปแล้วว่าอย่าใช้หนังทีนคิด
จากคุณ : tiktaalik
เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 14:08:17 A:58.9.221.166 X: TicketID:287399
สรุปอย่างย่อๆ จขกทเค้าถามว่า มันผิดไหม ถ้าเค้าจะไม่นับถือศาสนาใดๆเลย
และมีไหมที่คนไม่นับถือศาสนาจะมีชีวิตอย่างเป็นสุขและอยู่อย่างสบาย (เงินทองไม่ขาดมือว่างั้นเหอะ)
ไอ้ประเด็นหลังไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึง
ประเด็นคือ ความเห็นนี้น่าสนใจมาก
คนเราดีได้โดยที่ไม่ต้องมีศาสนา ที่จริงคนจะดีอย่างแท้จริงได้ต้องไม่มีศาสนา การมีศาสนามาออกบทลงโทษหรือรางวัล มันก็แค่ทำให้คนเห็นแก่ตัวแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา เพียงแต่เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวกว่าที่จะได้เฉพาะหน้าก็เท่านั้น น้องยังคงไม่เข้าใจ ก็แนะนำไปแล้วว่าอย่าใช้หนังทีนคิด
จากคุณ : tiktaalik
เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 14:08:17 A:58.9.221.166 X: TicketID:287399
คหนี้แหละที่น่าสนใจ
และความเห็นอื่นๆของเค้ายังมีอีก ที่บอกว่า ศาสนา ต้องสืบต่อเพื่อไม่ให้มันหายไป
ถ้าสังคมมีแต่ความสุข วันนั้นศาสนาจะหายไป เพราะคนไม่ต้องพึ่งศาสนาอีกแล้ว
พยายามจะเรียบเรียงความคิดตัวเอง ว่าทำไมศาสนาถึงสำคัญ
ประมาณปีที่แล้วได้อ่านกระทู้หว้ากอกระทู้นึง
มีความเห็นนึง ตอบประโยคที่น่าสนใจมาก
เค้าบอกว่า
ปลาทองมันว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลา มันไม่รู้ตัวหรอกว่าน้ำที่ตัวเองว่ายวนไปวนมานั้นมันคือในตู้ปลา
จนมีปลาทองตัวนึง มันกระโดดออกไปนอกตู้ปลา แล้วก็เห็นว่าเพื่อนปลาทองของเรา กำลังว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลา
มันเลยตะโกนเข้าไปบอกเพื่อนว่า "เฮ้ยพวกนาย กำลังว่ายวนไปมาอยู่ในตู้ปลานะโว้ย มันไม่ใช่ทะเลหรือแม่น้ำกว้างใหญ่ อย่างที่พวกนายคิด"
ตอนอ่านเจอครั้งแรก ปิ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ต้องเล่าก่อนว่า น้องสาวมันทิ้งปลาทองตัวนึง ไว้ให้น้องอีกคนเลี้ยง เพราะตัวมันต้องไปอยู่เมืองนอก
ทุกครั้งที่เห็นปลาทองตัวนั้น มันว่ายวนไปวนมาในตู้ปลาอันแสนแคบของมัน น้ำตามันพาลจะไหลทุกที เพราะสงสารมัน
แต่พออ่านความเห็นนี้เข้า ถึงกับปิ๊ง เฮ้ย เราไปคิดแทนปลาทองนี่หว่า ปลาทองมันคงไม่รู้ตัวหรอกว่ามันว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลาน่ะ
แต่.. ยังไม่จบเท่านั้น
คำพูดที่ว่า ปลาทองตัวนึง ตะโกนเข้าไปบอกปลาทองที่อยู่ในตู้ว่า พวกมันกำลังว่ายอยู่ในตู้ปลา
มันคือคำพูดที่แฝงนัยยะว่า
คนเรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ (เหมือนกะบรรดาปลาทองในตู้พวกนั้น)
แต่มีปลาตัวนึง ที่สามารถกระโดดออกไปนอกตู้ปลาได้ และเห็นว่า เพื่อนปลาทองของเรานั้น ว่ายวนไปวนมานี่หว่า
ปลาทองตัวที่กระโดดออกไปนอกตู้ปลาได้ ก็เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้ความจริงแท้ แล้วประกาศให้ปลาทองตัวอื่นๆ(ก็คือคนเรานั่นล่ะ) รู้ว่า เรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นะ ยังว่ายวนไปวนมาอยู่
เนี่ยคือคำพูดจุดประกายที่ทำให้ศึกษาธรรมะให้ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่แค่ศาสนาที่เขียนอยู่ตามหน้าบัตรประชาชนเท่านั้น
เริ่มจากอ่านแนวคิดของเซนก่อน อ่านแล้วชอบ ก็ต่อด้วยพุทธธรรมเลย เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าอะไรอยู่ในพระไตรปิฎก และพุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ ก็ขยายความให้คนที่ความรู้เรื่องศาสนาพุทธไม่ได้ลึกซึ้งอะไร เข้าใจได้ง่ายขึ้น
คำตอบที่เราอยากจะตอบความเห็นที่ยกมาข้างต้นคือ
ศาสนาไม่ได้มีแค่ต้องการให้คนเป็นคนดี ถ้าคุณต้องการให้สังคมสงบสุขและเรียบร้อย คุณไม่ต้องให้คนนับถือศาสนาหรอก
คุณแค่ออกกฎหมายมาควบคุมประชาชนก็พอแล้ว
เพราะถ้าแค่คนจะดีไม่ต้องพึ่งศาสนา แค่มีกฎหมายก็พอ อันนี้ถูกต้อง
แต่ สิ่งที่คนเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังว่ายอยู่ในอ่างปลานั่นอ่ะ มันคือหัวใจของศาสนา มันคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าพบคำตอบจริงๆ ท่านจึงประกาศออกมา
ความสุขที่คนเราเสพกันอยู่ทุกวันนี้ มันคือกามสุข ความสุขอย่างหยาบ
ลองตรึกตรองดูดีๆ วันนี้ชีวิตคุณมีความสุขดี ร่างกายแข็งแรง มีอาหารกินครบสมบูรณ์ทุกมื้อ มีคนรักที่เข้าใจกันดี
คุณมีความสุขใช่มั๊ย
แต่ถ้าวันนึง คุณเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา เจ็บป่วยอย่างยาวนาน ระหว่างรักษาก็เจ็บตัว เหนื่อย เสียเงินทอง คุณเริ่มทุกข์แล้วใช่มั๊ย
เพราะคุณไม่เคยเตรียมตัวที่จะเจอความทุกข์ คุณก็ยิ่งทุกข์มาก ถูกมั๊ย
ซึ่งตรงนี้ สิ่งที่มาเติมเต็มคุณ คือศาสนา เพราะแค่กฎหมาย มันไม่ทำให้คุณพ้นจากความทุกข์แน่นอน
และสิ่งที่พระุพุทธเจ้า ประกาศให้สาวกรู้คืออะไร
ท่านพูดว่า ความจริงแท้ คือ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แต่มนุษย์ก็ยังยึดความไม่แน่นอนนั้นเป็นสรณะ
มนุษย์ยึดทุกอย่าง
ทรัพย์สิน เงินทอง , คนรัก , อุดมการณ์ , ศักดิ์ศรี และ ฯลฯ อะไรที่นึกออก คุณกำลังยึดทุกอย่าง
ซึ่งทุกอย่างที่คุณกำลังยึดมันไว้ มันไม่จีรังยั่งยืน
พอมันเปลี่ยนแปลงไป มันหายไป มันตายไป คุณก็ทุกข์ คุณทุกข์ เพราะคุณยึด
พระพุทธเจ้าจึงบอกให้เราพยายามละมันซะ ละมันไป อย่าไปยึดติดกับมัน
เมื่อใดที่คุณทำได้ คุณจะพบความสุขที่มันเหนือกามสุข
ซึ่งเราก็รอให้ถึงวันที่เราจะพบกับความสุขอย่างละเอียดแบบนั้นเช่นกัน
สิ่งนึงที่คนสงสัยในศาสนา ก็คือพิธีกรรมต่างๆ ทำบุญ ตักบาตร
สิ่งที่เราไม่ทำ
1. เราไม่เคยตื่นมาใส่บาตรในวันเกิด
2. พวกชวนทำบุญตามบ้าน เราไม่เคยทำสักครั้ง
3. เราไม่สวดมนต์ บทสวดมนต์อย่างง่ายเรายังลืมเลย
สิ่งที่เราทำ
พยายามมีสติกะทุกวินาทีของชีวิต บางทีมันก็หลุดมั่ง ก็พยายามดึงสติกลับมา
แล้วบางเวลาที่รู้สึกว่าสตินิ่ง เราจะมีสมาธิ และสมาธินี่แหละ ที่ทำให้เราได้พิจารณาอะไรที่มันละเอียดๆจริงๆ
เวลาไหนที่ทำได้ถึงขั้นนี้ มันจะรู้สึกสงบอย่างประหลาด
(ไม่นั่งสมาธินะ ถ้าว่างจริงๆ มีเวลาถึงจะนั่ง)
เอาเวลาที่ทำงานบ้านในชีวิตประจำวันนี่แหละ พยายามให้มีสติกะทุกความเคลื่อนไหวของร่างกาย
แล้วก็พิจารณามันไป
สิ่งที่ได้จากสติคือ จิตใจเราจะไม่วอกแว่ก ไปกะอดีต หรือความกลัวของอนาคต เราจะนิ่ง แล้วพิจารณาสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วกิเลสมันจะหายไปเอง
จากแต่ก่อน เคยอ่านที่พวกนั่งสมาธิคุยกันนะ ความรู้สึกคือ "ประสาท คุยไรกันไม่เข้าใจ"
ตอนนี้เรารู้สึกว่า เรากำลังเข้าพวกกะคนที่เราเคยด่าอยู่
เราถึงถามว่า คุณเคยปฏิบัติจริงจังรึยัง ถึงบอกว่ามันไม่ดี
Saturday, June 16, 2012
Politics : Republican VS. Democrat
ใกล้ถึงฤดูเลือกตั้งปธนของสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว คำถามที่คนส่วนใหญ่สงสัยคือ อะไรคือนโยบายหลักๆของทั้งสองพรรคใหญ่
วันนี้อธิบายให้ผู้ปกครองที่บ้านฟัง ว่าสองพรรคนี้เค้าแตกต่างกันยังไง ทำไมต่างฝ่าย ถึงดำรงความเป็นพรรคของตัวเองมาได้เป็นร้อยปี แล้วก็ดำเนินนโยบายแบบนั้นตลอดทุกครั้งที่หาเสียง
ที่เราเคยได้ยินกันมาตลอด แทบจะทุกครั้งที่เอ่ยถึงพรรครีพับบลิกัน คือ "พรรคคนรวย"
ส่วนเดโมแครท คือพรรคคนจน เกย์ และคนผิวสี
ก็เลยยกตัวอย่างเรื่องที่เคยอ่าน เป็นโจ๊กขำขันที่เจอมาในเน็ต เอามาเล่าให้ฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า
ผู้เขียนเค้าไปเจอครอบครัวของเพื่อน ซึ่งมีลูกสาวตัวเล็กๆ อายุประมาณ 9-10 ขวบ
เค้าก็ยิงคำถามว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร
เด็กน้อยก็ตอบว่า หนูอยากเป็นประธานาธิบดีเหมือนปธนโอบาม่า
เค้าก็ถามต่อว่า ถ้าหนูได้เป็นประธานาธิบดี หนูจะทำอะไร
เด็กน้อยตอบว่า หนูจะเอาเงินไปช่วยพวกไร้บ้านค่ะ
พ่อของเด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม (ลูกเราน่ารักวุ้ย) ก็เลยพูดว่า
"งั้นเอางี้ดีกว่า ไม่ต้องรอหนูโตขึ้นไปเป็นประธานาธิบดีหรอก เดี๋ยวกลับบ้านแล้ว หนูไปช่วยพ่อตัดหญ้าที่สนามนะ แล้วพ่อจะให้เงินหนู แล้วหนูก็เอาเงินนี้ไปช่วยพวกไร้บ้านละกัน"
เด็กน้อยได้ยินดังนั้น ก็ทำคิ้วขมวด แล้วถามพ่อว่า
"ทำไมหนูต้องทำงานเพื่อเอาเงินไปให้พวกไร้บ้านด้วยล่ะคะ ทำไมพ่อไม่ให้พวกไร้บ้านมาตัดหญ้าให้พ่อ แล้วพ่อก็ให้ตังค์เค้าไปเลยดีกว่า"
พอคนเขียนได้ยินแบบนั้นแล้วก็พูดว่า "ยินดีด้วยจ้า ตอนนี้หนูเป็นรีพับบลิกันแล้ว" LoL
พ่อแม่ของเด็กน้อยได้ยินแล้วหุบยิ้มทันที จูงมือลูกสาวกลับบ้านเลย
พอเล่าให้ฟังแบบนี้จบ ผู้ปกครองที่บ้านบอกว่า ชอบแบบให้คนไร้บ้านไปตัดหญ้าเองมากกว่า
ลูกสาวก็จัดการบอกว่า งั้นแม่ก็เป็นรีพับบลิกันเหมือนกัน 555+
นี่คือความแตกต่างระหว่างสองพรรคใหญ่
รีพับบลิกันเป็นพรรคคนรวย เพราะนโยบายที่ชูมาตลอดทุกครั้งที่หาเสียงคือ "ลดภาษี ลดภาษี ลดภาษี"
ทำไมต้องลดภาษี?
เพราะเค้ามีความคิดว่า บริษัทใหญ่ๆ ถ้าไม่ต้องรับภาระจ่ายภาษีเยอะนัก เค้าจะเหลือเงินเอาไปลงทุนเพิ่ม
การลงทุนเพิ่ม หมายถึงการจ้างงานเพิ่มนั่นเอง
ดังนั้น ถ้ามีการจ้างงานเพิ่ม คนก็ไม่ตกงาน มีรายได้ และอยู่ดีมีสุข
คราวนี้หันมาดูฝั่งเดโมแครทกันบ้าง
พรรคของประธานาธิบดีโอบาม่า มีนโยบายเด่นๆคือ เก็บภาษีเพิ่ม ช่วยคนจน ให้ประกันสุขภาพกะทุกคน
เพราะเค้ามีแนวคิดที่ว่า ถ้าเราลดภาษีให้คนรวย เค้าจะเอาเงินไปลงทุนเพิ่มจริงรึเปล่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นจริงรึเปล่า
สู้เราเก็บภาษีเข้าคลัง แล้วเอาเงินนั้นมากระจายให้คนจนอย่างเท่าเทียม เงินถึงคนจนแน่นอน แบบนี้ดีกว่ารึเปล่า?
ถ้าเคยอ่านเรื่องหรือรู้ราวเกี่ยวกับคนเมกันมาบ้าง จะรู้ว่า การไม่มีประกันสุขภาพ ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมกาเนี่ย จะแย่ เืมื่อคุณต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะค่ารักษาแพงมาก
ดังนั้น การที่โอบาม่า ชูจุดเด่นว่าให้ประกันสุขภาพกะทุกคน คนจนก็เฮ เทคะแนนเสียงให้สิ
แล้วหันไปดู Candidate ของพรรคคู่แข่ง อย่าง มิท รอมนี่ ภาพเป็นนักธุรกิจ ร่ำรวย เค้าได้คะแนนจากคนรวยแน่ๆ เพราะคนรวย คงไม่อยากแบ่งเงินไปเลี้ยงคนจนหรอก คงคิดว่า ทำไมไม่ทำมาหากินเอง(ฟระ)
คงพอเห็นภาพกว้างๆ ของการเมืองเมกา ที่จะรบกวนชีวิตคุณไปทั้งปี ถ้าคุณตามข่าวการเมืองต่างประเทศ
แต่บอกไว้อย่าง นักการเมืองของเมกา ก็เหมือนอาชีพๆหนึ่งแหละ
เพราะมีแบคอัพ เป็นเงินบริจาคจากบริษัทใหญ่ๆ เช่นกัน
เหมือนนักการเมือง เป็นหุ่นเชิดของบริษัทใหญ่ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์แก่เค้าเช่นกัน
วุ้ย ถ้าพูดเรื่องนี้ สงสัยยาว ไปดูซีรี่ย์ต่อดีกว่า เฟี้ยววววววววววว !!!!!!!!!!
วันนี้อธิบายให้ผู้ปกครองที่บ้านฟัง ว่าสองพรรคนี้เค้าแตกต่างกันยังไง ทำไมต่างฝ่าย ถึงดำรงความเป็นพรรคของตัวเองมาได้เป็นร้อยปี แล้วก็ดำเนินนโยบายแบบนั้นตลอดทุกครั้งที่หาเสียง
ที่เราเคยได้ยินกันมาตลอด แทบจะทุกครั้งที่เอ่ยถึงพรรครีพับบลิกัน คือ "พรรคคนรวย"
ส่วนเดโมแครท คือพรรคคนจน เกย์ และคนผิวสี
ก็เลยยกตัวอย่างเรื่องที่เคยอ่าน เป็นโจ๊กขำขันที่เจอมาในเน็ต เอามาเล่าให้ฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า
ผู้เขียนเค้าไปเจอครอบครัวของเพื่อน ซึ่งมีลูกสาวตัวเล็กๆ อายุประมาณ 9-10 ขวบ
เค้าก็ยิงคำถามว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร
เด็กน้อยก็ตอบว่า หนูอยากเป็นประธานาธิบดีเหมือนปธนโอบาม่า
เค้าก็ถามต่อว่า ถ้าหนูได้เป็นประธานาธิบดี หนูจะทำอะไร
เด็กน้อยตอบว่า หนูจะเอาเงินไปช่วยพวกไร้บ้านค่ะ
พ่อของเด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม (ลูกเราน่ารักวุ้ย) ก็เลยพูดว่า
"งั้นเอางี้ดีกว่า ไม่ต้องรอหนูโตขึ้นไปเป็นประธานาธิบดีหรอก เดี๋ยวกลับบ้านแล้ว หนูไปช่วยพ่อตัดหญ้าที่สนามนะ แล้วพ่อจะให้เงินหนู แล้วหนูก็เอาเงินนี้ไปช่วยพวกไร้บ้านละกัน"
เด็กน้อยได้ยินดังนั้น ก็ทำคิ้วขมวด แล้วถามพ่อว่า
"ทำไมหนูต้องทำงานเพื่อเอาเงินไปให้พวกไร้บ้านด้วยล่ะคะ ทำไมพ่อไม่ให้พวกไร้บ้านมาตัดหญ้าให้พ่อ แล้วพ่อก็ให้ตังค์เค้าไปเลยดีกว่า"
พอคนเขียนได้ยินแบบนั้นแล้วก็พูดว่า "ยินดีด้วยจ้า ตอนนี้หนูเป็นรีพับบลิกันแล้ว" LoL
พ่อแม่ของเด็กน้อยได้ยินแล้วหุบยิ้มทันที จูงมือลูกสาวกลับบ้านเลย
พอเล่าให้ฟังแบบนี้จบ ผู้ปกครองที่บ้านบอกว่า ชอบแบบให้คนไร้บ้านไปตัดหญ้าเองมากกว่า
ลูกสาวก็จัดการบอกว่า งั้นแม่ก็เป็นรีพับบลิกันเหมือนกัน 555+
นี่คือความแตกต่างระหว่างสองพรรคใหญ่
รีพับบลิกันเป็นพรรคคนรวย เพราะนโยบายที่ชูมาตลอดทุกครั้งที่หาเสียงคือ "ลดภาษี ลดภาษี ลดภาษี"
ทำไมต้องลดภาษี?
เพราะเค้ามีความคิดว่า บริษัทใหญ่ๆ ถ้าไม่ต้องรับภาระจ่ายภาษีเยอะนัก เค้าจะเหลือเงินเอาไปลงทุนเพิ่ม
การลงทุนเพิ่ม หมายถึงการจ้างงานเพิ่มนั่นเอง
ดังนั้น ถ้ามีการจ้างงานเพิ่ม คนก็ไม่ตกงาน มีรายได้ และอยู่ดีมีสุข
คราวนี้หันมาดูฝั่งเดโมแครทกันบ้าง
พรรคของประธานาธิบดีโอบาม่า มีนโยบายเด่นๆคือ เก็บภาษีเพิ่ม ช่วยคนจน ให้ประกันสุขภาพกะทุกคน
เพราะเค้ามีแนวคิดที่ว่า ถ้าเราลดภาษีให้คนรวย เค้าจะเอาเงินไปลงทุนเพิ่มจริงรึเปล่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นจริงรึเปล่า
สู้เราเก็บภาษีเข้าคลัง แล้วเอาเงินนั้นมากระจายให้คนจนอย่างเท่าเทียม เงินถึงคนจนแน่นอน แบบนี้ดีกว่ารึเปล่า?
ถ้าเคยอ่านเรื่องหรือรู้ราวเกี่ยวกับคนเมกันมาบ้าง จะรู้ว่า การไม่มีประกันสุขภาพ ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมกาเนี่ย จะแย่ เืมื่อคุณต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะค่ารักษาแพงมาก
ดังนั้น การที่โอบาม่า ชูจุดเด่นว่าให้ประกันสุขภาพกะทุกคน คนจนก็เฮ เทคะแนนเสียงให้สิ
แล้วหันไปดู Candidate ของพรรคคู่แข่ง อย่าง มิท รอมนี่ ภาพเป็นนักธุรกิจ ร่ำรวย เค้าได้คะแนนจากคนรวยแน่ๆ เพราะคนรวย คงไม่อยากแบ่งเงินไปเลี้ยงคนจนหรอก คงคิดว่า ทำไมไม่ทำมาหากินเอง(ฟระ)
คงพอเห็นภาพกว้างๆ ของการเมืองเมกา ที่จะรบกวนชีวิตคุณไปทั้งปี ถ้าคุณตามข่าวการเมืองต่างประเทศ
แต่บอกไว้อย่าง นักการเมืองของเมกา ก็เหมือนอาชีพๆหนึ่งแหละ
เพราะมีแบคอัพ เป็นเงินบริจาคจากบริษัทใหญ่ๆ เช่นกัน
เหมือนนักการเมือง เป็นหุ่นเชิดของบริษัทใหญ่ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์แก่เค้าเช่นกัน
วุ้ย ถ้าพูดเรื่องนี้ สงสัยยาว ไปดูซีรี่ย์ต่อดีกว่า เฟี้ยววววววววววว !!!!!!!!!!
Sunday, June 10, 2012
VEEP :: วันนี้มีซีรี่ย์มาขายค่ะ (^_^)V
เล่าที่มาก่อน เกิดจากอ่านกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A12197203/A12197203.html
แล้วมีซีรี่ย์ที่ไม่รู้จักเยอะมากประกอบกับว่างมาก ก็จัดการเอามาสักเรื่องละตอน (ตอนไหนก็ได้) แล้วก็ดู
พอดู VEEP เท่านั้นล่ะ เห็นพื้นหลัง น้ำเงิน แดง ขาว แล้วมีดาววิ๊งๆ อูย ใช่เลย หามานาน
เห็นแค่นั้น จัดการปิด เอาตั้งแต่ตอนแรกเลย (ไม่อยากสปอยล์ตัวเองด้วยตอนหลังๆก่อน)
VEEP=VP=Vice President=รองประธานาธิบดี
อ่าแม่นแล้ว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับรองประธานาธิบดีนั่นเอง แต่... อย่าเพิ่งคิดว่าไม่ดูดีกว่า การเมืองบ้านเราก็เครียดพอแล้ว อยากหาอะไรตลกๆดู
ถ้าคิดแบบนั้น สมควรดู VEEP อย่างยิ่ง
อย่าเพิ่งไปนึกภาพว่า เราจะได้เห็นท่านรองประธานาธิบดีหญิง นั่งจิบน้ำชาแล้วถกเถียงกันด้วยเรื่อง "เราควรจะให้ประชาชนของเราใช้ยาคุมกำเนิดรึเปล่า"
ไม่ๆ ลบภาพนั้นทิ้งไป เพราะมันไม่มี อิอิอิ (เริ่มอยากดูรึยัง)
มันเป็นเรื่องของทีมงานรองประธานาธิบดีอันโกลาหลวุ่นวาย กว่าจะมาเป็นภาพลักษณ์ที่สวยงาม ลงนสพ.ออกสื่อ เบื้องหลังมันวุ่นวายขนาดไหน
แล้วที่สำคัญคือ มันฮามาก...
ทำไมต้อง VP ขอถามคำถามนึง จงตอบว่าใครคือรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน ติ๊กต่อกๆ ตอบกันได้รึเปล่า
อาจจะตอบได้ แต่ขอเวลาสามวิ ถามอากู๋ก่อน ฮ่าๆ
เมื่อวานตอนที่เราเริ่มดู เราก็นั่งคิด เอ รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันชื่อไรหว่า??
ดูได้สองตอน อ่า จำได้ล่ะ ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว J แต่ชื่ออะไร จำไม่ได้
ดูไปอีกสองตอน เกือบตอนล่าสุดล่ะ อ่า นามสกุลขึ้นต้นด้วยตัว B ว่าแต่นามสกุลอะไร จำไม่ได้
ดูจนถึงตอนสุดท้าย ถึงจะจำได้ว่าชื่ออะไร -*-
ซึ่งนั่นแปลว่า VP คือตำแหน่งที่ถูกลืม!!!
ถ้าไม่ใช่ขาชอบอ่านข่าวการเมืองรอบโลก เราว่าไม่มีใครจำได้หรอกว่าชื่ออะไร เพราะแทบไม่มีบทบาทเลยอ่ะ
เวลาดู ก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับศัพท์การเมือง ไม่ต้องสนก็ได้ เพราะไม่รู้ก็ฮาได้อ่ะ
รายละเอียดประกอบการดูVEEP เล็กน้อย
ฉายทางช่อง HBO
ความยาวตอนละ 30 นาที
ซีซัน 1 มีทั้งสิ้น 8 ตอน (เช้าวันจันทร์นี้ก็ได้ดูตอนที่ 8 ล่ะ)
มาถึงตัวแสดง Julia Louis-Dreyfus เล่นเป็น VEEP
ตอนเราดูเราว่า Tina Fey มาเล่นบทนี้ก็เหมาะนะ เหมือนซาร่าห์ เพ-ลิน เลยอ่ะ
แต่เวอร์ชั่นฮามาก
Anna Chlumsky เล่นเป็น Amy Chief of Staff แบบว่าเด็กมากอ่ะ หรือเราติดภาพ Chief of Staff จะต้องแก่ๆมากประสบการณ์ พอเห็นแล้ว เอ่อ ตำแหน่งVP นี้ ท่านจับสลากได้มารึเปล่า
Tony Hale เล่นเป็น Gary Walsh (body man) เราอยากทำตำแหน่งนี้ เป็นคนคอยดูแลตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้หมดทุกอย่างว่าต้องการอะไร
เอาแค่นี้ก่อน ต้องการละเอียดๆ เข้าไปที่นี่เลย http://www.hbo.com/veep
คำเตือนตบท้าย ดูจบอาจจะติด F word มาในชีวิตจริงได้
Thursday, May 31, 2012
Sports Night
ซีรี่ย์เก่าแ้ล้ว เพิ่งมานั่งดูจริงจัง เคยดูเมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมา แต่ไม่ติด ดูไปสองตอนไม่ชอบ
ตอนนี้กลับมานั่งดูใหม่ มันสนุกแฮะ ฮาดี ทุกคนเลย
เสียดายที่ไม่ค่อยเข้าใจศัพท์การกีฬา
แล้วกีฬาที่พวกเมกันชอบดู เราก็ไม่ชอบดูสักอย่าง
ที่ฮิตมากๆในเมกาคือ อเมริกันฟุตบอล , เบสบอล และ บาสเก็ตบอล
ไอ้ที่พอจะชอบบ้าง อย่างฟุตบอล หรือที่พวกเมกันเรียกว่า Soccer นั่นพวกก็ไม่พูดถึงในซีรี่ย์อีกน่ะ
ขำเรื่องฟุตบอลกะซอคเกอร์
สมัยที่เริ่มใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆ แชทกะพวกเมกัน แล้วก็ถามว่าชอบดูฟุตบอลมั๊ย
เค้าก็ตอบว่า ชอบมาก
พอคุยไปคุยมา อ้าวเข้าใจกันคนละฟุตบอลแระ
แถมท้าย เมกันคนนั้นยังบอกว่า American's football is the real football.
พอเราฟัง real football ตรงไหนฟระ เท้ามันยังไม่โดนบอลเลย มันถือลูกบอลวิ่งทั้งเกมส์ -*-
ทำไมเมกันต้องเรียกฟุตบอลของอังกฤษว่าซอคเกอร์ด้วยไม่เข้าใจจริงๆ
ในเรื่องเป็นเคเบิ้ลทีวี แล้วก็เบื้องหลังรายการข่าวกีฬา
เวลาัตัดไปฉากต่างๆ มันจะถ่ายตึกเวิร์ลเทรด ดูแล้วสะท้อนใจมากๆ
นึกถึงตอน 11 กันยา 2001 นั่นอ่ะ
อ่ะพูดถึงซีรี่ย์เล็กน้อย
เรื่องนี้Felicity Huffman เล่นล่ะ เห็น เมรี่ อลิซ จาก DH ด้วย ตัวโคตรสูง -*-
มีตาวิลจาก The Good Wife ด้วย
เชียร์เดน่ากะเคซีนะ จะมีโอกาสมั๊ยเนี่ย ต้องลุ้นกันถึงซีซันสองรึเปล่า
เอออีกอย่าง โชคดีที่มีแต่สองซีซัน ไม่งั้นคงดูกันตาแฉะกว่านี้ ดีนะ ที่ตอนนึงแค่ 20 นาทีอ่ะ
ดูSports Night เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับซีรี่ย์ใหม่ของ Arron Sorkin The Newsroom :)
ถ้าเอา Allison Jenney มาเล่นด้วยจะดีมากเลย
ตอนนี้กลับมานั่งดูใหม่ มันสนุกแฮะ ฮาดี ทุกคนเลย
เสียดายที่ไม่ค่อยเข้าใจศัพท์การกีฬา
แล้วกีฬาที่พวกเมกันชอบดู เราก็ไม่ชอบดูสักอย่าง
ที่ฮิตมากๆในเมกาคือ อเมริกันฟุตบอล , เบสบอล และ บาสเก็ตบอล
ไอ้ที่พอจะชอบบ้าง อย่างฟุตบอล หรือที่พวกเมกันเรียกว่า Soccer นั่นพวกก็ไม่พูดถึงในซีรี่ย์อีกน่ะ
ขำเรื่องฟุตบอลกะซอคเกอร์
สมัยที่เริ่มใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆ แชทกะพวกเมกัน แล้วก็ถามว่าชอบดูฟุตบอลมั๊ย
เค้าก็ตอบว่า ชอบมาก
พอคุยไปคุยมา อ้าวเข้าใจกันคนละฟุตบอลแระ
แถมท้าย เมกันคนนั้นยังบอกว่า American's football is the real football.
พอเราฟัง real football ตรงไหนฟระ เท้ามันยังไม่โดนบอลเลย มันถือลูกบอลวิ่งทั้งเกมส์ -*-
ทำไมเมกันต้องเรียกฟุตบอลของอังกฤษว่าซอคเกอร์ด้วยไม่เข้าใจจริงๆ
ในเรื่องเป็นเคเบิ้ลทีวี แล้วก็เบื้องหลังรายการข่าวกีฬา
เวลาัตัดไปฉากต่างๆ มันจะถ่ายตึกเวิร์ลเทรด ดูแล้วสะท้อนใจมากๆ
นึกถึงตอน 11 กันยา 2001 นั่นอ่ะ
อ่ะพูดถึงซีรี่ย์เล็กน้อย
เรื่องนี้Felicity Huffman เล่นล่ะ เห็น เมรี่ อลิซ จาก DH ด้วย ตัวโคตรสูง -*-
มีตาวิลจาก The Good Wife ด้วย
เชียร์เดน่ากะเคซีนะ จะมีโอกาสมั๊ยเนี่ย ต้องลุ้นกันถึงซีซันสองรึเปล่า
เอออีกอย่าง โชคดีที่มีแต่สองซีซัน ไม่งั้นคงดูกันตาแฉะกว่านี้ ดีนะ ที่ตอนนึงแค่ 20 นาทีอ่ะ
ดูSports Night เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับซีรี่ย์ใหม่ของ Arron Sorkin The Newsroom :)
ถ้าเอา Allison Jenney มาเล่นด้วยจะดีมากเลย
Sunday, April 8, 2012
เวิ่นเว้อถึง Adele ....
ได้ดูคอนเสิร์ต Adele คอนนี้
ทำเอาเวิ่นเว้อ ฟังแต่เพลง Adele คอนก็ดูเกือบจะสองรอบแล้ว
ก็ดูสัมภาษณ์อีก รายการ 60 minutes ดีมากอ่ะ น่าัรักดี
แต่... ตอนแรกที่ดูคอน ตอนร้องเพลงก็ไม่มีอะไร แต่พอเอ่ยปากพูดทักทายเท่านั้นแหละ
เอ่อ คนอังกฤษเหรอ เห็นพัดกะหมวกลอยมาแต่ไกล
พอดูสัมภาษณ์ถึงรู้ว่า ชีมาจาก North London เอ่อ ไม่ค่อยถูกกะสำเนียงอังกฤษ ฟังไม่ค่อยออก
เวลาดูซีรี่ย์ที่พูดสำเนียงอังกฤษทีไร ต้องเรียกหาซับทุกที ไม่งั้นไม่รอด
พอดู Adele ช่วงที่พูดรัวๆ นี่เอ่อ
"อย่ารัวได้ไหมหนู สำเนียงหนูก็ผู้ดีมากมาย แต่ฟังม่ายออก"
อยากรู้ว่า สำเนียงอังกฤษกะสำเนียงเมกันต่างกันยังไง ลองดูคลิป 60 minutes แล้วฟังความแตกต่างของสำเนียงระหว่าง พิธีกร กะ Adele จะรู้ว่า สำเนียงเมกันมันฟังง่ายมากเลย
ทำเอาเวิ่นเว้อ ฟังแต่เพลง Adele คอนก็ดูเกือบจะสองรอบแล้ว
ก็ดูสัมภาษณ์อีก รายการ 60 minutes ดีมากอ่ะ น่าัรักดี
แต่... ตอนแรกที่ดูคอน ตอนร้องเพลงก็ไม่มีอะไร แต่พอเอ่ยปากพูดทักทายเท่านั้นแหละ
เอ่อ คนอังกฤษเหรอ เห็นพัดกะหมวกลอยมาแต่ไกล
พอดูสัมภาษณ์ถึงรู้ว่า ชีมาจาก North London เอ่อ ไม่ค่อยถูกกะสำเนียงอังกฤษ ฟังไม่ค่อยออก
เวลาดูซีรี่ย์ที่พูดสำเนียงอังกฤษทีไร ต้องเรียกหาซับทุกที ไม่งั้นไม่รอด
พอดู Adele ช่วงที่พูดรัวๆ นี่เอ่อ
"อย่ารัวได้ไหมหนู สำเนียงหนูก็ผู้ดีมากมาย แต่ฟังม่ายออก"
อยากรู้ว่า สำเนียงอังกฤษกะสำเนียงเมกันต่างกันยังไง ลองดูคลิป 60 minutes แล้วฟังความแตกต่างของสำเนียงระหว่าง พิธีกร กะ Adele จะรู้ว่า สำเนียงเมกันมันฟังง่ายมากเลย
Friday, March 30, 2012
พุทธธรรม (ฉบับปรับปรุงและขยายความ) ย่อให้เหลือน้อยที่สุด
พุทธธรรม คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง
ต้องเข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้า ท่านเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเรานี่แหละ เพียงแต่ค้นพบสิ่งที่ไม่เคยมีคนพูดถึงมาก่อน ท่านจึงเอามาเผยแผ่สอนพวกเรา
ดังนั้น พระพุทธเจ้า ท่านไม่ใช่พระเจ้าเหมือนกับศาสนาอื่นนะ
ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจเรื่องแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ก่อน
ทางวิทยาศาสตร์บอกไว้ว่า โมเดลหรือแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นความจริง คือต้องเป็นความจริงตลอด ไม่ว่าจะใส่อะไรลงไปก็ตาม
เอาง่ายๆ ถ้าจุดไฟ มันต้องร้อน ไฟไม่มีทางเย็น แบบนั้นเป็นต้น
มาถึงแบบจำลอง หรือโมเดลที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้
ท่านบอกว่า "ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยง"
ลองมาทำความเข้าใจประโยคนี้ดู
ว่าทุกอย่างในโลกนี้ หาความเที่ยงเจอรึเปล่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ มันไม่เที่ยงคือความจริงแท้แน่นอน
ดังนั้น เมื่อ "สิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี" "สิ่งนั้นไม่มี สิ่งนี้จริงไม่มี"
การกระทำอย่างหนึ่ง ย่อมส่งผลต่ออย่างอื่นเสมอ
ดังนั้นแล้ว โลกนี้ ทุกอย่างก็หมุนวนกันไป เหมือนฟันเฟืองที่เชื่อมหากัน มีเหตุ หรืออะไรเกิดขึ้นก็ตาม ย่อมมีผลตามมา เป็นความจริงแท้เสมอ
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนเป็น คือความยึดติด
เรายึดติดกับทุกอย่าง ทั้งสิ่งภายนอก ยึดติดยี่ห้อ ยึดติดภาพลักษณ์ ยึดติดว่าทุกอย่างเป็นของเรา
หรือยึดติดว่า นี่คือเรา นี่คือเธอ นี่คือเขา
พระพุทธเจ้า ท่านจึงตรัสว่า "ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันไม่เที่ยง ทำไมคนเราจึงไปยึดติดมันล่ะ?"
ท่านพยายามสอนให้เรา ค่อยๆลด ละ เลิก ความยึดติดของเรา
นั่นล่ะคือทางดับทุกข์ที่แท้จริง
เพราะสิ่งที่เราพยายามยึดติด หรือถือมันไว้อยู่ วันนี้มันยังมี มันยังอยู่ มันยังให้เรายึดติด เกาะมันได้
พอพรุ่งนี้สิ่งที่เรายึดมันไว้ มันหายไป มันจากไป มันเสื่อมไป มันสลายไป เราก็เสียใจ
เมื่อเราเสียใจ เราก็ทุกข์
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำ คือเราต้องพยายาม ลด ละ เลิก การยึดติดสิ่งทั้งหลายซะ
ลองมาฟังตัวอย่างง่ายๆ ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แล้วถามตัวเองว่า เราทำมันได้รึเปล่า
มีอยู่วันหนึ่ง ถ้าจำได้ วันนั้นไปวัดใจ เพราะมีรองสังฆราช มาหาหลวงปู่
เราเห็นหลวงปู่ ท่านก็อายุมาก แต่ท่านมีพรรษาน้อยกว่า รองสังฆราชองค์นั้น
ในทางสงฆ์แล้ว จะไม่นับอายุ แต่จะดูที่พรรษาที่บวช คนที่พรรษาน้อยกว่า ไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมากก็ตาม ต้องทำความเคารพ คนที่พรรษามากกว่า
ซึ่งตรงนี้ พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมา เพื่อเป็นกุศโลบาย ให้พระสงฆ์เร่งบำเพ็ญเพียร เพราะถ้าพรรษามากกว่าแต่ยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงไหน ต้องให้คนที่พรรษาน้อยกว่ามาเคารพ ซึ่งสงฆ์ที่พรรษาน้อยกว่าท่านนั้น อาจจะก้าวหน้าไปกว่ามากแล้ว
ส่วนสงฆ์ที่พรรษาน้อยกว่า ถึงจะอายุเยอะกว่าสงฆ์ที่พรรษามากกว่า แต่ก็ต้องทำความเคารพ ก็เพื่อลดอัตตา (หรืออีโก้ในภาษาอังกฤษ) ลงนี่ล่ะ
วันนั้น ก็เห็นหลวงปู่ กราบท่านรองสังฆราชท่านนั้น อย่างงดงาม และไม่มีติดสงสัย ว่าท่านอาจจะก้าวหน้ากว่า หรืออายุมากกว่าก็ตาม
กลับมาสู่คำถาม
ถ้าให้คุณ กราบรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่าเป็นสิบปี โดยไม่มีแม้แต่เสี้ยวของความติดใจสงสัย ว่าทำไมเราต้องทำความเคารพคนที่อายุน้อยกว่านั้น คุณจะทำได้รึเปล่า?
อันนั้นเป็นอะไรที่เหมือนจะง่าย แต่...บอกตามตรงว่าทำไม่ได้จริงๆ เพราะยังมีอัตตาอยู่มากจริงๆ
ต้องเข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้า ท่านเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเรานี่แหละ เพียงแต่ค้นพบสิ่งที่ไม่เคยมีคนพูดถึงมาก่อน ท่านจึงเอามาเผยแผ่สอนพวกเรา
ดังนั้น พระพุทธเจ้า ท่านไม่ใช่พระเจ้าเหมือนกับศาสนาอื่นนะ
ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจเรื่องแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ก่อน
ทางวิทยาศาสตร์บอกไว้ว่า โมเดลหรือแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นความจริง คือต้องเป็นความจริงตลอด ไม่ว่าจะใส่อะไรลงไปก็ตาม
เอาง่ายๆ ถ้าจุดไฟ มันต้องร้อน ไฟไม่มีทางเย็น แบบนั้นเป็นต้น
มาถึงแบบจำลอง หรือโมเดลที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้
ท่านบอกว่า "ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยง"
ลองมาทำความเข้าใจประโยคนี้ดู
ว่าทุกอย่างในโลกนี้ หาความเที่ยงเจอรึเปล่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ มันไม่เที่ยงคือความจริงแท้แน่นอน
ดังนั้น เมื่อ "สิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี" "สิ่งนั้นไม่มี สิ่งนี้จริงไม่มี"
การกระทำอย่างหนึ่ง ย่อมส่งผลต่ออย่างอื่นเสมอ
ดังนั้นแล้ว โลกนี้ ทุกอย่างก็หมุนวนกันไป เหมือนฟันเฟืองที่เชื่อมหากัน มีเหตุ หรืออะไรเกิดขึ้นก็ตาม ย่อมมีผลตามมา เป็นความจริงแท้เสมอ
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนเป็น คือความยึดติด
เรายึดติดกับทุกอย่าง ทั้งสิ่งภายนอก ยึดติดยี่ห้อ ยึดติดภาพลักษณ์ ยึดติดว่าทุกอย่างเป็นของเรา
หรือยึดติดว่า นี่คือเรา นี่คือเธอ นี่คือเขา
พระพุทธเจ้า ท่านจึงตรัสว่า "ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันไม่เที่ยง ทำไมคนเราจึงไปยึดติดมันล่ะ?"
ท่านพยายามสอนให้เรา ค่อยๆลด ละ เลิก ความยึดติดของเรา
นั่นล่ะคือทางดับทุกข์ที่แท้จริง
เพราะสิ่งที่เราพยายามยึดติด หรือถือมันไว้อยู่ วันนี้มันยังมี มันยังอยู่ มันยังให้เรายึดติด เกาะมันได้
พอพรุ่งนี้สิ่งที่เรายึดมันไว้ มันหายไป มันจากไป มันเสื่อมไป มันสลายไป เราก็เสียใจ
เมื่อเราเสียใจ เราก็ทุกข์
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำ คือเราต้องพยายาม ลด ละ เลิก การยึดติดสิ่งทั้งหลายซะ
ลองมาฟังตัวอย่างง่ายๆ ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แล้วถามตัวเองว่า เราทำมันได้รึเปล่า
มีอยู่วันหนึ่ง ถ้าจำได้ วันนั้นไปวัดใจ เพราะมีรองสังฆราช มาหาหลวงปู่
เราเห็นหลวงปู่ ท่านก็อายุมาก แต่ท่านมีพรรษาน้อยกว่า รองสังฆราชองค์นั้น
ในทางสงฆ์แล้ว จะไม่นับอายุ แต่จะดูที่พรรษาที่บวช คนที่พรรษาน้อยกว่า ไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมากก็ตาม ต้องทำความเคารพ คนที่พรรษามากกว่า
ซึ่งตรงนี้ พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมา เพื่อเป็นกุศโลบาย ให้พระสงฆ์เร่งบำเพ็ญเพียร เพราะถ้าพรรษามากกว่าแต่ยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงไหน ต้องให้คนที่พรรษาน้อยกว่ามาเคารพ ซึ่งสงฆ์ที่พรรษาน้อยกว่าท่านนั้น อาจจะก้าวหน้าไปกว่ามากแล้ว
ส่วนสงฆ์ที่พรรษาน้อยกว่า ถึงจะอายุเยอะกว่าสงฆ์ที่พรรษามากกว่า แต่ก็ต้องทำความเคารพ ก็เพื่อลดอัตตา (หรืออีโก้ในภาษาอังกฤษ) ลงนี่ล่ะ
วันนั้น ก็เห็นหลวงปู่ กราบท่านรองสังฆราชท่านนั้น อย่างงดงาม และไม่มีติดสงสัย ว่าท่านอาจจะก้าวหน้ากว่า หรืออายุมากกว่าก็ตาม
กลับมาสู่คำถาม
ถ้าให้คุณ กราบรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่าเป็นสิบปี โดยไม่มีแม้แต่เสี้ยวของความติดใจสงสัย ว่าทำไมเราต้องทำความเคารพคนที่อายุน้อยกว่านั้น คุณจะทำได้รึเปล่า?
อันนั้นเป็นอะไรที่เหมือนจะง่าย แต่...บอกตามตรงว่าทำไม่ได้จริงๆ เพราะยังมีอัตตาอยู่มากจริงๆ
Monday, February 13, 2012
เจ้ากรรมนายเวร...ไม่มี!!!!
เพิ่งอ่านเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ความโง่ของข้าพเจ้าทะลุแล้ว
เคยเข้าใจว่า เราเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่น และคนอื่นก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรเราเช่นกัน ซึ่งมันเป็นความเข้าใจที่ผิด!!!
จากบทความที่อ่าน อธิบายได้เห็นภาพชัดเจนมาก
ยกตัวอย่างเรื่องของเมียหลวง เมียน้อย
ว่าตอนเมียน้อยท้อง เมียหลวงก็เอายาพิษให้กิน เพื่อให้แท้ง พอท้องอีกก็เอาให้กินอีก เมียน้อยแท้งไปสองครั้งสองครา แล้วก็ผูกพยาบาท
ในชาติต่อมา เมียน้อยได้ไปเกิดเป็นแมว ส่วนเมียหลวง เกิดเป็นไก่ ซึ่งทั้งสองก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
ซึ่งไก่ในบ้านนั้นเวลาออกไข่ทีไร แมวต้องเอาไข่ไก่ไปกินทุกที ไข่ไม่เคยได้ฟัก
คำถามคือว่า แมวตัวนั้น มันจำได้มั๊ย ว่าอดีตชาติ มันเคยเกิดเป็นเมียน้อยและโดนเมียหลวงทำให้แท้ง
คำตอบคือ แมวมันจำไม่ได้ ไก่ก็เช่นกัน มันก็จำไม่ได้หรอกว่ามันเคยเป็นเมียหลวงมาก่อน
คำถามข้อต่อมา แล้วกรรมที่แมวมันไปกินไข่ไก่ ตกเป็นของใคร
คำตอบ กรรมนั้นก็ต้องเป็นของแมวสิ เพราะแมวมันกินไข่ มันไม่ได้กินไข่ เพราะมันจำได้ว่ามันเคยถูกทำให้แท้งลูกในชาติก่อน
ดังนั้นแล้ว สิ่งที่ดีที่สุด ทีเราต้องทำคือ เราต้องแผ่เมตตา เมตตาต่อทุกคนที่เข้ามาในชีวิต
เร่งทำกุศลกรรมเถอะ คิดดีทำดี มันไม่ได้ดีต่อใคร แต่มันดีต่อตัวเราเอง
Sunday, February 5, 2012
Zen Everyday#9 เซนไม่ใช่เซียน
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน เป็นผลดีต่อเราในแง่การทำสมาธิ มีสติ ดีทั้งต่อการเรียนและการทำงาน
ทำงานก็ไม่หลงลืม ขาดตกบกพร่อง เวลาเรียน ก็จะมีสมาธิ พร้อมที่จะเข้าใจและรับความรู้ใหม่ๆ
สิ่งที่ได้หลังจากการเจริญสติ นอกจาก หัวสมองที่โปร่ง โล่ง พร้อมจะรับสิ่งใหม่ๆ แล้ว
ยังมีสิ่งที่เหนือความคาดหมายเสริมมาให้เราด้วย ซึ่งในทางผู้ปฏิบัติจะเรียกว่า "นิมิตร"
นิมิตร มีทั้งมาในฝัน หรือในสมาธิ นิมิตรบางทีก็เห็นในเรื่องเหลือเชื่อ เช่น อดีตชาติ ซึ่งไม่มีีใครสามารถบอกได้ว่า นิมิตรนั้นจริงหรือลวง
ดังนั้นแล้ว เมื่อเราได้สัมผัสนิมิตร เราไม่ควรไปสนใจมัน มันจะทำให้เราหลง เราปฏิบัติกันไปผิดทาง
ถ้ามีนิมิตรมา ก็แค่กำหนดจิตรู้ แล้วไม่ต้องไปสนใจ ปฏิบัติของเราต่อไป
เพราะเซน คือการกำหนดรู้ความว่างเปล่า เซนไม่ใช่การฝึกเพื่อไปเป็นเซียน เราจะหลงผิดได้
ทำงานก็ไม่หลงลืม ขาดตกบกพร่อง เวลาเรียน ก็จะมีสมาธิ พร้อมที่จะเข้าใจและรับความรู้ใหม่ๆ
สิ่งที่ได้หลังจากการเจริญสติ นอกจาก หัวสมองที่โปร่ง โล่ง พร้อมจะรับสิ่งใหม่ๆ แล้ว
ยังมีสิ่งที่เหนือความคาดหมายเสริมมาให้เราด้วย ซึ่งในทางผู้ปฏิบัติจะเรียกว่า "นิมิตร"
นิมิตร มีทั้งมาในฝัน หรือในสมาธิ นิมิตรบางทีก็เห็นในเรื่องเหลือเชื่อ เช่น อดีตชาติ ซึ่งไม่มีีใครสามารถบอกได้ว่า นิมิตรนั้นจริงหรือลวง
ดังนั้นแล้ว เมื่อเราได้สัมผัสนิมิตร เราไม่ควรไปสนใจมัน มันจะทำให้เราหลง เราปฏิบัติกันไปผิดทาง
ถ้ามีนิมิตรมา ก็แค่กำหนดจิตรู้ แล้วไม่ต้องไปสนใจ ปฏิบัติของเราต่อไป
เพราะเซน คือการกำหนดรู้ความว่างเปล่า เซนไม่ใช่การฝึกเพื่อไปเป็นเซียน เราจะหลงผิดได้
Thursday, February 2, 2012
Zen Everyday#8 A Better Person
จากหนังสือเซนที่อ่าน มีบอกอยู่ตอนนึงว่า "สำหรับผู้ที่ฝึกเซน จะกลายเป็นที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น อ่อนโยนขึ้น ใจดีขึ้น"
ตอนอ่านก็นึกๆ มัีนจะเป็นไปได้ยังไง
ตอนนี้ได้คำตอบกับตัวเองแล้ว ..."มันเป็นไปได้จริง"
มันเกิดกับตัวเอง เป็นโดยธรรมชาติ แบบที่เราไม่รู้สึกว่า "เราต้องทำ" แต่มันรู้สึกไปเอง ว่าเราจะทำ
งงมั๊ย?
คือไม่รู้สึกว่า เราต้องฝืนเป็นคนดี หรือต้องฝืนเป็นคนเข้าใจผู้อื่น
แต่เราจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ จากข้างใน โดยที่ถ้าไม่สังเกต เราก็ไม่รู้ตัว
แต่พอสังเกตตัวเองแบบเงียบๆ จะรู้ว่า มันเปลี่ยนได้จริง
ตอนอ่านก็นึกๆ มัีนจะเป็นไปได้ยังไง
ตอนนี้ได้คำตอบกับตัวเองแล้ว ..."มันเป็นไปได้จริง"
มันเกิดกับตัวเอง เป็นโดยธรรมชาติ แบบที่เราไม่รู้สึกว่า "เราต้องทำ" แต่มันรู้สึกไปเอง ว่าเราจะทำ
งงมั๊ย?
คือไม่รู้สึกว่า เราต้องฝืนเป็นคนดี หรือต้องฝืนเป็นคนเข้าใจผู้อื่น
แต่เราจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ จากข้างใน โดยที่ถ้าไม่สังเกต เราก็ไม่รู้ตัว
แต่พอสังเกตตัวเองแบบเงียบๆ จะรู้ว่า มันเปลี่ยนได้จริง
Monday, January 30, 2012
Zen Everyday#7 วิถีแห่งเซน
เซนเป็นแขนงหนึ่งของศาสนาพุทธ
เซนเป็นแค่นิกาย สิ่งหนึ่งที่เซนต่างจากศาสนาพุทธก็คือ
เซนไม่เคยบอกว่า ห้ามทำอะไร หรือ ต้องทำอะไร
เซนบอกอย่างเดียวว่า มองทุกอย่างให้เป็นความว่างเปล่าเข้าไว้
บอกวิธี ว่าเราต้องทำอย่างไร ถึงจะมองเห็นความว่างเปล่านั้น
ตอนอ่านเจอจุดนี้ ก็สงสัย แล้วเซนจะช่วยพัฒนาจิตใจได้อย่างไร?
วันนี้ หลังจากพยายามตั้งสติ เรียกสติกลับคืนมา
ก็ค้นพบว่า การอยู่กับปัจจุบันขณะ นั่นคือการกำจัดกิเลสออกไปทางอ้อมนั่นเอง
ลองยกตัวอย่างดูนะ
หุ้นที่คุณซื้อไว้ จู่ๆก็ขึ้น ได้กำไรมหาศาล สองสามเท่า
ถ้าคุณมัวแต่เอาใจไปผูกไว้กะหุ้น
"อ่า หุ้นขึ้นแล้ว ขายทำกำไร เอาเงินไปซื้อไรดีน้าาาาาาาาาาาาาา" คุณเอาแต่คิดแบบนี้ตลอดเวลา
แล้วผลที่ได้ก็คือ กิเลสก็ครอบงำคุณ
กลับกัน ถ้าคุณอยู่กะปัจจุบันขณะ
มองแค่ปัจจุบัน และตั้งสติจดจ่ออยู่กะปัจจุบัน
โดยที่สมองของคุณ ไม่มีวอกแว่กไปคิดเรื่องใดๆเลย
กิเลส มันก็ไม่มา เพราะคุณไม่เห็นอะไรอย่างอื่น นอกจากวินาทีนี้ ปัจจุบันนี้เท่านั้น
นี่ก็น่าจะเป็นกุศโลบายอย่างนึงของเซนกระมัง ที่ทำให้เราค่อยๆ ลด ละ เลิก จากความอยากทั้งปวง
อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า ลองหาหลักยึด และตั้งสติอยู่กะปัจจุบันดู ...
เซนเป็นแค่นิกาย สิ่งหนึ่งที่เซนต่างจากศาสนาพุทธก็คือ
เซนไม่เคยบอกว่า ห้ามทำอะไร หรือ ต้องทำอะไร
เซนบอกอย่างเดียวว่า มองทุกอย่างให้เป็นความว่างเปล่าเข้าไว้
บอกวิธี ว่าเราต้องทำอย่างไร ถึงจะมองเห็นความว่างเปล่านั้น
ตอนอ่านเจอจุดนี้ ก็สงสัย แล้วเซนจะช่วยพัฒนาจิตใจได้อย่างไร?
วันนี้ หลังจากพยายามตั้งสติ เรียกสติกลับคืนมา
ก็ค้นพบว่า การอยู่กับปัจจุบันขณะ นั่นคือการกำจัดกิเลสออกไปทางอ้อมนั่นเอง
ลองยกตัวอย่างดูนะ
หุ้นที่คุณซื้อไว้ จู่ๆก็ขึ้น ได้กำไรมหาศาล สองสามเท่า
ถ้าคุณมัวแต่เอาใจไปผูกไว้กะหุ้น
"อ่า หุ้นขึ้นแล้ว ขายทำกำไร เอาเงินไปซื้อไรดีน้าาาาาาาาาาาาาา" คุณเอาแต่คิดแบบนี้ตลอดเวลา
แล้วผลที่ได้ก็คือ กิเลสก็ครอบงำคุณ
กลับกัน ถ้าคุณอยู่กะปัจจุบันขณะ
มองแค่ปัจจุบัน และตั้งสติจดจ่ออยู่กะปัจจุบัน
โดยที่สมองของคุณ ไม่มีวอกแว่กไปคิดเรื่องใดๆเลย
กิเลส มันก็ไม่มา เพราะคุณไม่เห็นอะไรอย่างอื่น นอกจากวินาทีนี้ ปัจจุบันนี้เท่านั้น
นี่ก็น่าจะเป็นกุศโลบายอย่างนึงของเซนกระมัง ที่ทำให้เราค่อยๆ ลด ละ เลิก จากความอยากทั้งปวง
อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า ลองหาหลักยึด และตั้งสติอยู่กะปัจจุบันดู ...
Zen Everyday#6 ตั้งหลัก
คนเรามีจุดอ่อนกันทุกคน
ปกติ ก็ตั้งสติกันได้ดี มีสมาธิจดจ่อ
แต่พอโดนจี้จุดอ่อนเข้าครั้งใด มันก็ออกอาการเป๋กันได้ทุกคน
เร็วๆนี้ก็เจอเหมือนกัน เป็นจุดอ่อนที่สุดเลยก็ว่าได้
พอโดนจี้เข้าให้ เสียหลัก ถอยรูด ไอ้ที่เคยทำได้ดี
กำจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปได้ดี
กลับเป็นว่า ต้องไปตั้งต้นกันใหม่
ไอ้ที่ทำๆ สะสมไว้ตั้งหลายวัน มันก็กระจายไปหมดแล้ว
เปรียบให้เห็นภาพ ก็ให้นึกภาพคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น
ก็ตีเท้าเกาะโฟมไปเรื่อยๆ
เจอคลื่นใหญ่ซัดเข้ามา มือที่เกาะโฟมไว้ มันก็หลุด
ต้องเสียเวลาแหวกว่ายซะจนเหนื่อย กว่าจะหาหลักเจอ
วันนี้ดีขึ้นแล้ว เจอหลักแล้ว เกาะมันไว้ซะแน่นเลย
ไม่อยากตะกายน้ำ คว้าหลักอีก มันเหนื่อย ....
ปกติ ก็ตั้งสติกันได้ดี มีสมาธิจดจ่อ
แต่พอโดนจี้จุดอ่อนเข้าครั้งใด มันก็ออกอาการเป๋กันได้ทุกคน
เร็วๆนี้ก็เจอเหมือนกัน เป็นจุดอ่อนที่สุดเลยก็ว่าได้
พอโดนจี้เข้าให้ เสียหลัก ถอยรูด ไอ้ที่เคยทำได้ดี
กำจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปได้ดี
กลับเป็นว่า ต้องไปตั้งต้นกันใหม่
ไอ้ที่ทำๆ สะสมไว้ตั้งหลายวัน มันก็กระจายไปหมดแล้ว
เปรียบให้เห็นภาพ ก็ให้นึกภาพคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น
ก็ตีเท้าเกาะโฟมไปเรื่อยๆ
เจอคลื่นใหญ่ซัดเข้ามา มือที่เกาะโฟมไว้ มันก็หลุด
ต้องเสียเวลาแหวกว่ายซะจนเหนื่อย กว่าจะหาหลักเจอ
วันนี้ดีขึ้นแล้ว เจอหลักแล้ว เกาะมันไว้ซะแน่นเลย
ไม่อยากตะกายน้ำ คว้าหลักอีก มันเหนื่อย ....
Thursday, January 26, 2012
Zen Everyday#5 กระวนกระวาย
หุ้นขึ้น แต่กลับไม่ดีใจ กลายเป็นหงุดหงิดใจทั้งวัน
จนบอกตัวเองว่า ลงกลับไปราคาเดิมเหอะ จะได้หายหงุดหงิด
จริงที่เราไปให้ค่ามันเอง จริงๆ มันก็อยู่ของมันแบบนั้น
เราต่างหาก ที่ไปกำหนดค่าให้มัน ให้มันมีความสำคัญ หรือให้มันด้อยค่า มันอยู่ที่เราจริงๆ
พอเปิดหนังสืออ่าน เพื่อหาตะขอมาเกี่ยวตัวเองกลับ
อ่านแล้วก็ดีขึ้น เรายังมีอัตตาอยู่เยอะจริงๆ เราไปยึดเหนี่ยวมูลค่าที่เราไปใส่ให้หุ้นมัน
ซึ่งในความเป็นจริง มันก็อยู่ของมันแบบนั้น
เราเองต่างหาก ที่ไปมองว่า มัน "มีค่า" หรือ มัน"ด้อยค่า" เอง
กลับมาที่หนังสือ ได้อะไรมาหลายอย่าง
มองทุกอย่าง ในแบบที่มันเป็น อย่าไปคิดแทนมัน มองอย่างเดียว มองให้ทะลุ
ชอบ Quote นี้
"ชีวิตที่ปีติสุขไม่ได้มาจากการเสาะหาความสุข แต่อยู่ที่การรับรู้ และแค่อยู่กะสถานการณ์ต่างๆของชีวิตอย่างที่เป็น"
ทำไมถึงห้ามใส่ความคิดเห็น
เวลาที่เราวิจารณ์ หรือใส่ความคิดเห็นให้เรื่องใดๆก็ตาม
มันเหมือนกะว่า เรากำลังโบกปูน พอกตัวเราให้หนาขึ้น
ก็เพราะเรากำลังสร้างตัวตนของเราขึ้นมา เพื่อไปมองอะไรก็ตามให้เป็นแบบที่เราคิด
แต่ถ้าเราหยุดวิจารณ์ มองทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น มันก็เหมือนกะการขัดเกลาจิตใจของเราให้บางลง
ลบตัวตนของเราออกไปทีละนิดๆ จนเราไร้ตัวตนนั่นเอง
Everything comes with the price จริงๆ ฝึกกันอีกนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
Monday, January 23, 2012
Zen Everyday #4 ไม่เคยมี
ซื้อหุ้นปั่นไว้ตัวนึง ติดดอยมันมา 5 ปี หุ้นปั่นก็รู้ๆอยู่ มันชอบให้ของแถม แจกวอร์ เพิ่มทุน เพิ่มหุ้นมั่งไรมั่ง
ไอ้หุ้นตัวนี้ก็ไม่ต่างกัน แถมวอร์มาให้
ด้วยความที่ิติดดอย(สูงมาก) ก็เลยไม่สนใจ ไม่ดูมัน วอร์ที่ได้มาฟรีๆ ก็ไม่ยอมขาย
จนวันนึง ได้จดหมายมาถามว่า "คุณจะแลกเป็นหุ้นแม่ไหม?" เพราะมันหมดอายุแล้ว
เห็นแบบนั้น โอย โมโห เลือดขึ้นหน้า หงุดหงิดไป 3 ชั่วโมง
ทำไมไม่ดูวันหมดอายุวะ
ทำไมไม่ยอมขายวะ
ด่าทอตัวเอง
พอครบสามชั่วโมง ค่อยสงบสติอารมณ์ได้
แล้วก็นึกได้ว่า ไอ้ลูกหุ้นตัวนั้น เราได้มันมาฟรีๆใช่รึเปล่า?
ตอบ.. ใช่
แล้วตอนนี้มันก็แ่ค่หายไป ใช่รึเปล่า?
ตอบ.. ใช่
แล้วเราจะเสียใจทำไม ก็ในเมื่อ.."มันไม่เคยมี"
อาการที่เราเสียใจ เป็นเพราะเรายึดติดมันไงล่ะ
เรายึดติดทุกอย่าง ทุกอย่างคือ ตัวกู ของกู ทั้งนั้น
แล้วถ้าเราคิดอีกทางนึงล่ะ
คิดซะว่า ทุกอย่างมันไม่เคยมีอยู่จริง แล้วพอมันหายไป มันก็แค่หายไปเฉยๆไงล่ะ
เพราะมันไม่มีอะไรมาตั้งแต่ต้นแล้ว
พยายามฝึกจิตใจ อย่าไปยึดติด
เคยได้อันดับที่หนึ่ง พอหล่นปุ๊มาอันดับที่สอง เราก็เสียใจ เพราะเราไปยึดติดกะอันดับหนึ่งของเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่แน่นอน อะไรที่เราคิดว่าใช่แน่ๆ จริงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนไป
มันไม่มีหรอก
มีเกิด.. มีดับ..
มีทุกข์.. มีสุข..
มีขึ้น.. ก็ย่อมมีลง..
ถ้าเราเลิกยึดติดกะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เราจะไม่ทุกข์
ท่องเอาไว้ ทุกอย่างไม่เคยมี
ไอ้หุ้นตัวนี้ก็ไม่ต่างกัน แถมวอร์มาให้
ด้วยความที่ิติดดอย(สูงมาก) ก็เลยไม่สนใจ ไม่ดูมัน วอร์ที่ได้มาฟรีๆ ก็ไม่ยอมขาย
จนวันนึง ได้จดหมายมาถามว่า "คุณจะแลกเป็นหุ้นแม่ไหม?" เพราะมันหมดอายุแล้ว
เห็นแบบนั้น โอย โมโห เลือดขึ้นหน้า หงุดหงิดไป 3 ชั่วโมง
ทำไมไม่ดูวันหมดอายุวะ
ทำไมไม่ยอมขายวะ
ด่าทอตัวเอง
พอครบสามชั่วโมง ค่อยสงบสติอารมณ์ได้
แล้วก็นึกได้ว่า ไอ้ลูกหุ้นตัวนั้น เราได้มันมาฟรีๆใช่รึเปล่า?
ตอบ.. ใช่
แล้วตอนนี้มันก็แ่ค่หายไป ใช่รึเปล่า?
ตอบ.. ใช่
แล้วเราจะเสียใจทำไม ก็ในเมื่อ.."มันไม่เคยมี"
อาการที่เราเสียใจ เป็นเพราะเรายึดติดมันไงล่ะ
เรายึดติดทุกอย่าง ทุกอย่างคือ ตัวกู ของกู ทั้งนั้น
แล้วถ้าเราคิดอีกทางนึงล่ะ
คิดซะว่า ทุกอย่างมันไม่เคยมีอยู่จริง แล้วพอมันหายไป มันก็แค่หายไปเฉยๆไงล่ะ
เพราะมันไม่มีอะไรมาตั้งแต่ต้นแล้ว
พยายามฝึกจิตใจ อย่าไปยึดติด
เคยได้อันดับที่หนึ่ง พอหล่นปุ๊มาอันดับที่สอง เราก็เสียใจ เพราะเราไปยึดติดกะอันดับหนึ่งของเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่แน่นอน อะไรที่เราคิดว่าใช่แน่ๆ จริงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนไป
มันไม่มีหรอก
มีเกิด.. มีดับ..
มีทุกข์.. มีสุข..
มีขึ้น.. ก็ย่อมมีลง..
ถ้าเราเลิกยึดติดกะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เราจะไม่ทุกข์
ท่องเอาไว้ ทุกอย่างไม่เคยมี
Sunday, January 22, 2012
Zen Everyday #3 ห้ามบ่น
กระบวนการในการ"บ่น"เริ่มจาก
1. ระลึกชาติ 30 นาทีก่อนหน้า ก็ถือว่าเป็นการระลึกชาติ
2. อารมณ์เริ่มขุ่นมัว ...แง่มๆ เหยียบเท้าแล้วไม่ขอโทษเร๊อะ...
3. ตอกย้ำ ...ทั้งทาง Facebook Twitter อัพสเตตัส บ่น ด่าทอ มันเข้าไป.. แถมยังโทรไปเล่าให้เพื่อนฟังอีก...
4. หัวเริ่มร้อน อารมณ์ขุ่นมัว เนื่องจากใช้พลังงานในการพร่ำบ่น พิมพ์บ่น
5. รู้สึกหงุดหงิดที่โดนเหยียบเท้าไปอีก 3 ชั่วโมง
เริ่มมองเห็นภาพไหม เวลาเราบ่นแล้วเราจะได้อะไรพ่วงมาด้วย
เราต้องสูญเสียพลังงานโดยไม่จำเป็นไปเท่าไหร่ ต่อการบ่น 1 เรื่อง
เราต้องเสียสมาธิในการทำงานไปกะอารมณ์ขุ่นมัวไปเท่าไหร่ ต่อการบ่น 1 เรื่อง
งานการเราต้องเสียหายเท่าไหร่ จากการที่เราเสียสมาธิจากการบ่น 1 เรื่อง
การบ่นคือการนึกถึงอดีต เมื่อสิบนาทีก่อนมีคนเหยียบเท้าคุณ แล้วก็ไม่ขอโทษคุณ คุณรู้สึกโกรธ อารมณ์เริ่มเสีย แล้วก็เอาไปพาลกะคนรอบข้าง
การนึกถึงอดีต ไม่ใช่เรื่องที่ดี เราอารมณ์เสีย กะเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว จะสิบนาทีก่อน หรือจะ 1 นาทีก่อน มันก็คืออดีต มันไม่ใช่ปัจจุบัน
เราควรมีสติตั้งมั่นอยู่กะปัจจุบัน โฟกัสอยู่กะนาทีนี้ วินาทีนี้ อย่ามัวไปเสียเวลาระลึกชาติกันอยู่เลย มันไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก
หรืออย่ามัวเพ้อฝันถึงอนาคต ว่ามันต้องเป็นอย่างโง้นอย่างงี้
มาโฟกัสอยู่กะปัจจุบันกันเถอะ และที่สำคัญ "เลิกบ่น"
1. ระลึกชาติ 30 นาทีก่อนหน้า ก็ถือว่าเป็นการระลึกชาติ
2. อารมณ์เริ่มขุ่นมัว ...แง่มๆ เหยียบเท้าแล้วไม่ขอโทษเร๊อะ...
3. ตอกย้ำ ...ทั้งทาง Facebook Twitter อัพสเตตัส บ่น ด่าทอ มันเข้าไป.. แถมยังโทรไปเล่าให้เพื่อนฟังอีก...
4. หัวเริ่มร้อน อารมณ์ขุ่นมัว เนื่องจากใช้พลังงานในการพร่ำบ่น พิมพ์บ่น
5. รู้สึกหงุดหงิดที่โดนเหยียบเท้าไปอีก 3 ชั่วโมง
เริ่มมองเห็นภาพไหม เวลาเราบ่นแล้วเราจะได้อะไรพ่วงมาด้วย
เราต้องสูญเสียพลังงานโดยไม่จำเป็นไปเท่าไหร่ ต่อการบ่น 1 เรื่อง
เราต้องเสียสมาธิในการทำงานไปกะอารมณ์ขุ่นมัวไปเท่าไหร่ ต่อการบ่น 1 เรื่อง
งานการเราต้องเสียหายเท่าไหร่ จากการที่เราเสียสมาธิจากการบ่น 1 เรื่อง
การบ่นคือการนึกถึงอดีต เมื่อสิบนาทีก่อนมีคนเหยียบเท้าคุณ แล้วก็ไม่ขอโทษคุณ คุณรู้สึกโกรธ อารมณ์เริ่มเสีย แล้วก็เอาไปพาลกะคนรอบข้าง
การนึกถึงอดีต ไม่ใช่เรื่องที่ดี เราอารมณ์เสีย กะเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว จะสิบนาทีก่อน หรือจะ 1 นาทีก่อน มันก็คืออดีต มันไม่ใช่ปัจจุบัน
เราควรมีสติตั้งมั่นอยู่กะปัจจุบัน โฟกัสอยู่กะนาทีนี้ วินาทีนี้ อย่ามัวไปเสียเวลาระลึกชาติกันอยู่เลย มันไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก
หรืออย่ามัวเพ้อฝันถึงอนาคต ว่ามันต้องเป็นอย่างโง้นอย่างงี้
มาโฟกัสอยู่กะปัจจุบันกันเถอะ และที่สำคัญ "เลิกบ่น"
Wednesday, January 18, 2012
Zen Everyday#2 เรามองแต่ไม่เคยเห็น
เคยลองพิจารณาอารมณ์ตัวเองแบบละเอียดถี่ถ้วนไหม? สังเกตไหมว่า ในหัวเราคิดตลอดเวลา
และตอนที่เรากำลังปล่อยอารมณ์ล่องลอยไปกะสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวเรา เราจะเห็นภาพในสิ่งที่เรากำลังคิด
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรากลับมองไม่เห็น
เช่น ตอนที่กำลังยืนล้างจาน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเคยชิน เราล้างจานทุกวัน เราก็ล้างไป คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย
สุดท้าย เราเลยไม่เคยเห็นจาน หรือ ช้อน หรือส้อม ที่เรากำลังหยิบจับล้างมันอยู่เลย แต่เรากลับไปเห็นอะไรมากมาย ในมโนภาพที่เรากำลังคิด อาจจะเป็นหนังที่เพิ่งดู เพลงที่เพิ่งฟัง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรากลับไม่เคยเห็นเลย
ตอนนี้พยายามฝึกตัวเอง ไม่ให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย (บอกแล้วเราเคยชินกะมันมาทั้งชีวิต เราปล่อยปละละเลยมานานแล้วกะความคิดที่ล่องเลย ไร้ระเบียบ) พอเริ่มจัดระเบียบความคิดในหัวใหม่
อย่างแรกเลย มันยากมาก ยากที่จะไล่จับให้หัวเราอยู่นิ่งๆ มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า โฟกัสกะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
แต่เชื่อมั๊ย สิ่งที่เราได้คือ "ความสงบ" รู้สึกว่า หัวเราโล่ง ไม่มีขยะความคิดลอยไปลอยมา
เรากลับนิ่ง สงบ และเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และสิ่งที่สำคัญ เราจะละเอียดกะอารมณ์ของเรา เราจะเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในอารมณ์ของเรา แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
ยังไม่ต้องเชื่อตอนนี้ก็ได้ อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง ต้องลองฝึกกันเอาเอง
วิธีการโฟกัสกะปัจจุบัน
ทำยังไงให้เราสงบ และอยู่กับปัจจุบันได้ ตอนแรกๆ มันยากมาก เพราะไม่รู้ว่า จะเอาหลักอะไรมายึดให้หัวเราอยู่นิ่งๆ ไม่คิดนู้นคิดนี่ตามอำเภอใจ
ตอนแรกใช้วิธี ตาเรามองเห็นอะไร ก็ย้ำกะตัวเองว่าเรากำลังเห็นอะไร
แต่วิธีนี้ มันจะได้ไม่ถึงนาที มันก็เอาอีกแล้ว
พออ่านหนังสือรอบที่สอง ผู้เขียน อาจารย์โจโกะ บอกว่า ใช้วิธีฟัง ฟังทุกสิ่งที่หูเราได้ยิน แล้วฟังให้ลึก ฟังว่า เสียงที่เราได้ยินคืออะไร
วิธีฟัง นี่เวิร์คมาก พอหัวเราเริ่มคิด ก็พยายามฟังให้ได้ยิน ว่าตอนนี้เรากำลังได้ยินเสียงอะไร วิธีนี้เวิร์คสุดๆ
หยุดบ่น การบ่นคือการพูดถึงอดีต (ถ้าจะยกตัวอย่าง ก็แปลว่าเรากำลังจะบ่น ((อีกแล้ว)) )
เวลาที่หัวเริ่มไปนึกถึงเรื่องขุ่นเคืองใจ ก็พยายามหยุดความคิดตัวเองโดยฉับพลัน หยุดใ้ห้มันสนิท แล้วย้ำกะตัวเองว่า มันคืออดีต มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วเรื่องนั้น มันก็มลายหายไปของมันเอง
แล้วผลพลอยได้คืออะไรรู้มั๊ย เวลาเราเริ่มจะบ่น เริ่มจะคิด เริ่มจะวิจารณ์ใครอีกแล้ว หัวมันจะร้อนของมันเอง ไม่รู้ว่า มันคือผลพวงที่ดีหรือแย่เนี่ย เพราะพอหัวเริ่มร้อน มันจะหยุดของมันเอง เพราะขืนคิดต่อไป หัวระเบิดแน่ๆ -*-
และตอนที่เรากำลังปล่อยอารมณ์ล่องลอยไปกะสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวเรา เราจะเห็นภาพในสิ่งที่เรากำลังคิด
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรากลับมองไม่เห็น
เช่น ตอนที่กำลังยืนล้างจาน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเคยชิน เราล้างจานทุกวัน เราก็ล้างไป คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย
สุดท้าย เราเลยไม่เคยเห็นจาน หรือ ช้อน หรือส้อม ที่เรากำลังหยิบจับล้างมันอยู่เลย แต่เรากลับไปเห็นอะไรมากมาย ในมโนภาพที่เรากำลังคิด อาจจะเป็นหนังที่เพิ่งดู เพลงที่เพิ่งฟัง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรากลับไม่เคยเห็นเลย
ตอนนี้พยายามฝึกตัวเอง ไม่ให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย (บอกแล้วเราเคยชินกะมันมาทั้งชีวิต เราปล่อยปละละเลยมานานแล้วกะความคิดที่ล่องเลย ไร้ระเบียบ) พอเริ่มจัดระเบียบความคิดในหัวใหม่
อย่างแรกเลย มันยากมาก ยากที่จะไล่จับให้หัวเราอยู่นิ่งๆ มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า โฟกัสกะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
แต่เชื่อมั๊ย สิ่งที่เราได้คือ "ความสงบ" รู้สึกว่า หัวเราโล่ง ไม่มีขยะความคิดลอยไปลอยมา
เรากลับนิ่ง สงบ และเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และสิ่งที่สำคัญ เราจะละเอียดกะอารมณ์ของเรา เราจะเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในอารมณ์ของเรา แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
ยังไม่ต้องเชื่อตอนนี้ก็ได้ อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง ต้องลองฝึกกันเอาเอง
วิธีการโฟกัสกะปัจจุบัน
ทำยังไงให้เราสงบ และอยู่กับปัจจุบันได้ ตอนแรกๆ มันยากมาก เพราะไม่รู้ว่า จะเอาหลักอะไรมายึดให้หัวเราอยู่นิ่งๆ ไม่คิดนู้นคิดนี่ตามอำเภอใจ
ตอนแรกใช้วิธี ตาเรามองเห็นอะไร ก็ย้ำกะตัวเองว่าเรากำลังเห็นอะไร
แต่วิธีนี้ มันจะได้ไม่ถึงนาที มันก็เอาอีกแล้ว
พออ่านหนังสือรอบที่สอง ผู้เขียน อาจารย์โจโกะ บอกว่า ใช้วิธีฟัง ฟังทุกสิ่งที่หูเราได้ยิน แล้วฟังให้ลึก ฟังว่า เสียงที่เราได้ยินคืออะไร
วิธีฟัง นี่เวิร์คมาก พอหัวเราเริ่มคิด ก็พยายามฟังให้ได้ยิน ว่าตอนนี้เรากำลังได้ยินเสียงอะไร วิธีนี้เวิร์คสุดๆ
หยุดบ่น การบ่นคือการพูดถึงอดีต (ถ้าจะยกตัวอย่าง ก็แปลว่าเรากำลังจะบ่น ((อีกแล้ว)) )
เวลาที่หัวเริ่มไปนึกถึงเรื่องขุ่นเคืองใจ ก็พยายามหยุดความคิดตัวเองโดยฉับพลัน หยุดใ้ห้มันสนิท แล้วย้ำกะตัวเองว่า มันคืออดีต มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วเรื่องนั้น มันก็มลายหายไปของมันเอง
แล้วผลพลอยได้คืออะไรรู้มั๊ย เวลาเราเริ่มจะบ่น เริ่มจะคิด เริ่มจะวิจารณ์ใครอีกแล้ว หัวมันจะร้อนของมันเอง ไม่รู้ว่า มันคือผลพวงที่ดีหรือแย่เนี่ย เพราะพอหัวเริ่มร้อน มันจะหยุดของมันเอง เพราะขืนคิดต่อไป หัวระเบิดแน่ๆ -*-
Tuesday, January 10, 2012
Zen Everyday #1
The beginning
เราใช้ชีวิตด้วยการกำหนดเงื่อนไข เช่น ถ้าชั้นได้สิ่งนั้น ชั้นจะมีความสุข หรือ ถ้าฉันรักเธอ เธอต้องรักชั้นตอบ
ตั้งแต่เกิด จนโต เราใช้ชีวิตกันมาแบบนี้ มีตัวเรา และมีสิ่งอื่นๆ เราพยายามแยกตัวเราอีกคนออกมา เราใช้สิ่งที่จำกัด คือ กายกับจิต ไปมองสิ่งอื่นๆ ก็จะกลายเป็นว่า เราใช้สิ่งที่จำกัด(มุมมอง) ไปมองสิ่งภายนอกที่มันก็จำกัดอีกแหละ ใช้สิ่งที่จำกัดไปมองสิ่งที่จำกัด เราถึงต้องวนเวียน ทุกข์ซ้ำซากนี่ไง
ปัญหา มันไม่ใช่สิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ใช่ใคร สิ่งของ หรือสิ่งอื่นๆ ที่มาทำให้เราทุกข์ ความทุกข์ มันอยู่ที่ความคิดเราเองต่างหาก
ดังนั้น หนทางในการพ้นทุกข์ เราต้องฝึกกำหนดความคิด
-การปลดปล่อยความคิดที่เกิดขึ้น
ความคิดของเรามันยุ่งเหยิง มันสับสนวุ่นวาย เคยมั๊ย ที่กำลังร้องเพลงนึง แล้วยังสามารถร้องอีกเพลงซ้อนขึ้นมาได้พร้อมกัน
นั่นแหละตัวอย่างของความคิดที่สับสน เราต้องเริ่มต้นจัดระเบียบความคิดของเรา ณ บัดนาว :)
เวลาที่เราเกิดความคิดขึ้น (ขอเรียกมันว่า ความคิดขยะละกัน เพราะมันเป็นความคิดฟุ้งซ่านของเราเอง) เราต้องปล่อยให้มันเกิด แล้วก็ปล่อยให้มันเลือนไปเอง ห้ามไปบังคับความคิด การไปบังคับมัน ก็เหมือนเราพยายามกลับไปแยกตัวเราออกมาอีกคน (เค้าเรียกว่า ทวิภาวะ) วิธีการที่ดีที่สุดคือ ให้เตือนตัวเองว่า failed อีกแล้วเธอ หยุดเดี๋ยวนี้ แล้วก็กลับไปตั้งสติ ตระหนักรับรู้ปัจจุบันใหม่ ความคิดขยะเหล่านี้ไม่ใช่ของจริง ถ้าเราทำบ่อยๆ ย้ำตัวเองบ่อยๆ ก็เหมือนเราดูหนังเรื่องเดิม ที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเราจะเบื่อมันไปเอง
ความคิดมีสองประเภท ประเภทแรกคือ ความคิดที่มันจำเป็นต่อชีวิตของเรา เช่น ข้อเท็จจริง ความรู้ในการทำอาหาร ความคิดในการคิดเลข ซึ่งมันเป็นความคิดที่สำคัญและเราก็จำเป็นต้องใช้มัน
ประเภทที่สอง คือความคิดขยะ ความคิดฟุ้งซ่านของเรา ความเห็น การตัดสินใจ ความทรงจำ การฝันถึงอนาคต ซึ่งเป็นความคิด 90% ของความคิดทั้งหมดที่เราคิดในแต่ละวัน เราเสียเวลากันทั้งชีวิตให้กับความคิดขยะเหล่านั้น
ถ้าเราฝึกฝนบ่อยๆ เวลาเกิดเรื่องขุ่นเคืองใจ เราจะกำจัดความขุ่นเคืองใจออกไปได้เร็วขึ้น เรื่องก็จะจบลงเท่านั้น เพราะเราไม่ยึดติดกับความโกรธ เราฝึกแบบนี้บ่อยๆ มันจะไม่ทำให้เรากลายเป็นคนไร้ความรู้สึกนะ แต่กลับจะทำให้เราลึกซึ้งกะความคิดมากขึ้น มีความรู้สึกที่แท้จริงมากขึ้น เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น เพราะเราจะไม่ยึดติดกะตัวตนของเรา (เหมือนเป็นการลดอัตตาของเรา)
การทำงานในชีวิตประจำวัน
เราควรโฟกัส คิดเฉพาะเรื่องงานตรงหน้าเท่านั้น ห้ามบ่น เช่นถ้าต้องขัดห้องน้ำ ก็ขัดไป ตั้งใจขัด อย่าบ่นว่า ทำไมคนนู้นไม่ราดน้ำ ทำไมคนนี้ ทำพื้นสกปรก นั่นคือความคิดขยะ ที่เราควรกำจัดมันออกไป
Monday, January 9, 2012
แค่นี้นี่นะ.....!!!!
คำว่าหลุดพ้น ในทางพุทธศาสนามันดูยิ่งใหญ่ ดูเอื้อมไม่ถึง
แต่พอรู้ความจริงแล้ว คำว่าหลุดพ้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย มันไม่ใช่อีกโลก โลกพระศรีอาริย์ หรืออะไรเลย
เชื่อมั๊ย ว่ามันอยู่แค่ปลายจมูก ปลายจมูกเรานี่แหละ
หลุดพ้นในที่นี้ คือการหลุดพ้นจากบ่วงความคิดเรา
อริยสัจสี่ ของพระพุทธเจ้าก็คือความจริง แต่.. คำว่าทุกข์ อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ มันคือความคิดของเรา
ทุกข์ไม่ใช่ โดนพ่อด่า โดนแม่ตี โดนเพื่อนนินทา หรือโดนใครต่อใครทำร้าย
ทุกข์เกิดจากความคิดของเรา
โดนพ่อด่า เราโกรธ เราอาย นั่นคือความคิดเราที่โกรธหรืออาย ถามว่า ถ้าเราโดนพ่อด่าแล้วเราไม่โกรธ เราไม่อาย เราจะทุกข์มั๊ย?
พอรู้ความจริงแค่นี้ ถึงกะอุทานว่า หลุดพ้น เรื่องแค่นี้เองเหรอ
หนทางที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดเรานี่สิ ดูจะยาก แต่ก็ไม่ยากเกินจะฝึกฝน
ถ้ามีคนทำให้เราเกิดอารมณ์โกรธบ่อยๆเราควรจะดีใจ หรือเกิดอารมณ์อิจฉา ริษยา เราก็ควรจะดีใจ
นั่นหมายความว่า ยิ่งเกิดบ่อย เรายิ่งมีโอกาสจะได้พิจารณาอารมณ์ของเราได้บ่อยขึ้นเท่านั้น
วิธีพิจารณาก็ง่ายมาก เราต้องครีเอทอีกคนออกมา ซึ่งเราจะเรียกว่าผู้สังเกตการณ์
มาเฝ้าดูเรา ผู้ซึ่งกำลังโกรธอยู่ ว่าเรามีปฏิิกิริยาอย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไร เมื่อเราเกิดอารมณ์โกรธ
ฝึกบ่อยๆ ทำบ่อยๆ จะได้ชิน แล้วจะได้หลุดพ้นกับเค้าได้สักที
พอรู้ความจริงข้อนี้ ต้องขอบคุณพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ท่านค้นพบความจริงข้อนี้ แล้วเอามาเผยแผ่ให้คนอื่นฟัง
ถ้าเราเกิดในสมัยพุทธกาล ได้ยินคงคิดว่า พระพุทธเจ้า่ท่านต้องบ้าแน่ๆ พูดอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจ
เหมือนที่เพื่อนเราคนนึง เค้าเคยพูดว่า "ให้ฝึกโทษตัวเอง" ตอนได้ยินครั้งแรก ห๊า อะไรนะ ทำไมเราต้องโทษตัวเองด้วย ก็เราไม่ผิด
ผ่านมาหลายปี เพิ่งจะเข้าใจว่าคำว่า โทษตัวเอง หมายถึงอะไร มันหมายถึง การควบคุมความคิดของเรา ที่จะไม่ทำให้เกิดอารมณ์โกรธคู่กรณีเราต่างหาก
แล้วคำว่า "พิจารณา" ที่หลวงปู่ชอบพูดบ่อยๆ ตอนนั้นได้ยินคำว่าพิจารณา ก็นึกที มันคืออะไร ทำไมอะไรๆ ก็ต้องพิจารณา
ตอนนี้เข้าใจแล้ว เข้าใจจริงๆ พิจารณา เป็นอะไรที่เล็กมาก คือการพิจารณาอารมณ์ของเรา
เวลาที่เราโกรธ เราต้องพิจารณาขั้นตอนทุกขั้นตอนอย่างละเอียดยิบ เราโกรธยังไง กล้ามเนื้อหน้ากระตุก หน้าร้อนผ่าวๆ หัวสมอง รู้สึกมีอะไรพุ่งพล่านอยู่ในหัว นั่นแหละ พิจารณาเข้าไป ให้ละเอียด ทำบ่อยๆ แล้ววันนึง เราจะรู้เองว่าเราต้องทำอย่างไรกะอารมณ์โกรธ
พระพุทธศาสนา ที่คิดว่าตัวเองเข้าใจแก่นของมันมาตั้งหลายปี จริงๆแล้วเราไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เลยจริงๆ
Saturday, January 7, 2012
เซน ... ส่วนเติมเต็มของศาสนาพุทธ
นับถือศาสนาพุทธเหมือนคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย
ศึกษาศาสนาพุทธตามหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ และอ่านเอาบ้าง จากนอกตำรา
แต่ไม่เคยรู้ว่า คนพุทธนั่งสมาธิไปเพื่ออะไร
รู้แต่ว่าให้กำหนดลมหายใจเข้าออก มีสติอยู่กะตัวตลอดเวลา รับรู้ลมหายใจผ่านเข้าออก
แต่...รับรู้ไปเพื่ออะไรล่ะ ไม่เคยรู้คำตอบ
จนกระทั่งได้มาอ่านหนังสือเกี่ยวกับนิกายเซน สิ่งที่เฝ้าสงสัย ได้คลายความสงสัย ว่าเรานั่งสมาธิไปเพื่ออะไร
เซน เป็นนิกายหนึ่งของพระุพุทธศาสนา เซน เน้นที่การฝึกปฏิบัติ เรานั่งสมาธิไปเพื่อให้รู้ว่า เราไร้ตัวตน
เราไม่เคยมีตัวตน ไม่เคยมีอดีต อนาคต และแม้กระทั่งปัจจุบัน
ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วต้องบอกว่า 60% คือสิ่งที่ทำอยู่ และทำมานานแล้ว
แต่มันเหมือนเรากวาดขยะมากองไว้หน้าบ้าน แต่เราไม่รู้วิธีเอาขยะไปทิ้ง
พออ่านปุ๊บ เหมือนมันจุดประกาย ว่าเราต้องเอาขยะไปทิ้งยังไง
เซนเป็นส่วนเติมเต็มของศาสนาพุทธจริงๆ
หลักใหญ่ๆของเซนเน้นเรื่องการไร้ตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแต่มายา
เราไร้ตัวตน
ถ้าจะอธิบายเซนให้ Geek ฟัง ต้องบอกว่า
เราเปรียบเสมือน core ของระบบปฺฏิบัติการ แต่คนส่วนใหญ่ หลงใหลแต่ UI (user interface-ส่วนติดต่อผู้ใช้)
แล้วเราก็หลงลืมไป ว่าจริงๆแล้ว core นั่นต่างหากที่สำคัญกว่า หน้ากากอันสวยงามที่ครอบไว้อยู่
ถ้านึกกันไม่ออกว่า core กะ UI นี่มันเป็นยังไง ขอให้นึกถึง แอนดรอยด์ (Android)
แอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติของสมาร์ทโฟน จากค่ายกูเกิ้ล ที่ออกมาให้ใช้กันฟรีๆ
(คุณเข้าใจไม่ผิดค่ะ แต่คุณไม่ได้จ่ายค่าไลเซนท์นะคะ ค่ายโทรศํพท์ต่างหากที่จ่ายให้คุณ แต่เค้าก็เก็บเอาจากคุณอยู่ดี ในค่าตัวโทรศัพท์ที่คุณซื้อ)
ซึ่งตัวระบบปฏิบัติการเพียวๆนี่กูเิ้กิ้ลออกมาให้ใช้ แต่ค่ายมือถือแต่ละค่ายที่เอาแอนดรอยด์ไปใช้ ไปทำหน้ากาก หรือที่เรียกว่า UI ครอบไว้อีกที เพื่อให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้น
เราจะได้ยินคำว่า HTC sense จากค่าย HTC หรือ ของซัมซุง เรียกอะไรสักอย่าง ลืม
ของ Sony ก็ทำเองหน้าตาอีกแบบนึง
สิ่งที่พวกแฟนบอยหลงใหลคือ บอกกันว่า UI ของค่ายไหนสวยสุด ใช้งานง่ายสุด
แต่ลืมนึกกันไปว่า ตัวระบบปฏิบัติการต่างหากที่รันให้มันสมูธ
เราเห็นแต่หน้ากาก หรือ UI ของมัน จนเราลืมนึกถึง ไอ้ Core ปฏิบัติการที่รันอยู่ด้านหลัง ถ้ามันรันไม่ได้ มันก็ใช้งานอะไรไม่ได้ ต้อง Hard reset กันท่าเดียว :P
มนุษย์เรา ตอนเกิดมา เรามีแค่ตัวตน (core ของระบบปฏิบัติการนั่นเอง) ส่วนเสริมต่างๆ (add-on) เราใส่กันมาทีหลัง จนนานวัน เราก็ลืมตัวตนของเราไป
เซน สอนให้เรานึกถึงสิ่งที่สำคัญ คือตัวตนของเราต่างหาก
การใส่คอมเม้นต์ ก็เป็นการแยกตัวเรา ออกจากตัวตนของเรา สิ่งที่เราทำได้ คืออย่าไปตัดสินใคร อย่าไปใส่คอมเม้นต์ใคร
ทำตัวให้เป็นกลาง ปล่อยทุกอย่างให้ไหลผ่านร่างกายของเราไป
อย่างเวลาเราโกรธ เค้าบอกว่า ให้แยกตัวเราอีกคนนึงออกมา แล้วจงมองตัวเราที่ำกำลังโกรธอยู่นั่น (เหมือนคนบ้าไหม) คือเฝ้ามองทุกวินาที ที่เรากำลังโกรธ แล้วเราจะเข้าใจเอง
ทำบ่อยๆ ทำให้ชิน แล้วเราจะเริ่มผสานตัวตนที่เราลืมมันไปให้กลับเข้ามา :)
ชอบอีกตัวอย่างนึงที่ผู้เขียนเล่า
เรื่องเพื่อนมาปรึกษาว่าทะเลาะกะสามีเมื่อสามวันก่อน
พอเล่าจบ ผู้เขียนก็ถามว่า เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เพื่อนก็ตอบว่า ก็สามวันก่อนไง ชั้นบอกเธอไปแล้วไง
ผู้เขียนก็ถามอีกว่า แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นวันไหนล่ะ
จนเพื่อนโมโห แล้วผู้เขียนก็ตอบว่า เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน มันจบไปแล้ว
แต่เธอยังคงโมโหอยู่ ทั้งๆที่เวลานั้นมันก็ผ่านไปแล้วไง
แค่นี้ก็ทำให้เพื่อนคิดได้ ว่ามีแต่เรา ที่บ้า ยังโมโหอยู่คนเดียว
ขอโทษที่ไม่มีศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับบทความนี้ เนื่องจากอ่านฉบับแปล ถ้ามีโอกาสจะหาต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านแน่นอน เพราะบางครั้ง อ่านวลียืดยาดในภาษาไทย ก็ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน
ศึกษาศาสนาพุทธตามหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ และอ่านเอาบ้าง จากนอกตำรา
แต่ไม่เคยรู้ว่า คนพุทธนั่งสมาธิไปเพื่ออะไร
รู้แต่ว่าให้กำหนดลมหายใจเข้าออก มีสติอยู่กะตัวตลอดเวลา รับรู้ลมหายใจผ่านเข้าออก
แต่...รับรู้ไปเพื่ออะไรล่ะ ไม่เคยรู้คำตอบ
จนกระทั่งได้มาอ่านหนังสือเกี่ยวกับนิกายเซน สิ่งที่เฝ้าสงสัย ได้คลายความสงสัย ว่าเรานั่งสมาธิไปเพื่ออะไร
เซน เป็นนิกายหนึ่งของพระุพุทธศาสนา เซน เน้นที่การฝึกปฏิบัติ เรานั่งสมาธิไปเพื่อให้รู้ว่า เราไร้ตัวตน
เราไม่เคยมีตัวตน ไม่เคยมีอดีต อนาคต และแม้กระทั่งปัจจุบัน
ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วต้องบอกว่า 60% คือสิ่งที่ทำอยู่ และทำมานานแล้ว
แต่มันเหมือนเรากวาดขยะมากองไว้หน้าบ้าน แต่เราไม่รู้วิธีเอาขยะไปทิ้ง
พออ่านปุ๊บ เหมือนมันจุดประกาย ว่าเราต้องเอาขยะไปทิ้งยังไง
เซนเป็นส่วนเติมเต็มของศาสนาพุทธจริงๆ
หลักใหญ่ๆของเซนเน้นเรื่องการไร้ตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแต่มายา
เราไร้ตัวตน
ถ้าจะอธิบายเซนให้ Geek ฟัง ต้องบอกว่า
เราเปรียบเสมือน core ของระบบปฺฏิบัติการ แต่คนส่วนใหญ่ หลงใหลแต่ UI (user interface-ส่วนติดต่อผู้ใช้)
แล้วเราก็หลงลืมไป ว่าจริงๆแล้ว core นั่นต่างหากที่สำคัญกว่า หน้ากากอันสวยงามที่ครอบไว้อยู่
ถ้านึกกันไม่ออกว่า core กะ UI นี่มันเป็นยังไง ขอให้นึกถึง แอนดรอยด์ (Android)
แอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติของสมาร์ทโฟน จากค่ายกูเกิ้ล ที่ออกมาให้ใช้กันฟรีๆ
(คุณเข้าใจไม่ผิดค่ะ แต่คุณไม่ได้จ่ายค่าไลเซนท์นะคะ ค่ายโทรศํพท์ต่างหากที่จ่ายให้คุณ แต่เค้าก็เก็บเอาจากคุณอยู่ดี ในค่าตัวโทรศัพท์ที่คุณซื้อ)
ซึ่งตัวระบบปฏิบัติการเพียวๆนี่กูเิ้กิ้ลออกมาให้ใช้ แต่ค่ายมือถือแต่ละค่ายที่เอาแอนดรอยด์ไปใช้ ไปทำหน้ากาก หรือที่เรียกว่า UI ครอบไว้อีกที เพื่อให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้น
เราจะได้ยินคำว่า HTC sense จากค่าย HTC หรือ ของซัมซุง เรียกอะไรสักอย่าง ลืม
ของ Sony ก็ทำเองหน้าตาอีกแบบนึง
สิ่งที่พวกแฟนบอยหลงใหลคือ บอกกันว่า UI ของค่ายไหนสวยสุด ใช้งานง่ายสุด
แต่ลืมนึกกันไปว่า ตัวระบบปฏิบัติการต่างหากที่รันให้มันสมูธ
เราเห็นแต่หน้ากาก หรือ UI ของมัน จนเราลืมนึกถึง ไอ้ Core ปฏิบัติการที่รันอยู่ด้านหลัง ถ้ามันรันไม่ได้ มันก็ใช้งานอะไรไม่ได้ ต้อง Hard reset กันท่าเดียว :P
มนุษย์เรา ตอนเกิดมา เรามีแค่ตัวตน (core ของระบบปฏิบัติการนั่นเอง) ส่วนเสริมต่างๆ (add-on) เราใส่กันมาทีหลัง จนนานวัน เราก็ลืมตัวตนของเราไป
เซน สอนให้เรานึกถึงสิ่งที่สำคัญ คือตัวตนของเราต่างหาก
การใส่คอมเม้นต์ ก็เป็นการแยกตัวเรา ออกจากตัวตนของเรา สิ่งที่เราทำได้ คืออย่าไปตัดสินใคร อย่าไปใส่คอมเม้นต์ใคร
ทำตัวให้เป็นกลาง ปล่อยทุกอย่างให้ไหลผ่านร่างกายของเราไป
อย่างเวลาเราโกรธ เค้าบอกว่า ให้แยกตัวเราอีกคนนึงออกมา แล้วจงมองตัวเราที่ำกำลังโกรธอยู่นั่น (เหมือนคนบ้าไหม) คือเฝ้ามองทุกวินาที ที่เรากำลังโกรธ แล้วเราจะเข้าใจเอง
ทำบ่อยๆ ทำให้ชิน แล้วเราจะเริ่มผสานตัวตนที่เราลืมมันไปให้กลับเข้ามา :)
ชอบอีกตัวอย่างนึงที่ผู้เขียนเล่า
เรื่องเพื่อนมาปรึกษาว่าทะเลาะกะสามีเมื่อสามวันก่อน
พอเล่าจบ ผู้เขียนก็ถามว่า เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เพื่อนก็ตอบว่า ก็สามวันก่อนไง ชั้นบอกเธอไปแล้วไง
ผู้เขียนก็ถามอีกว่า แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นวันไหนล่ะ
จนเพื่อนโมโห แล้วผู้เขียนก็ตอบว่า เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน มันจบไปแล้ว
แต่เธอยังคงโมโหอยู่ ทั้งๆที่เวลานั้นมันก็ผ่านไปแล้วไง
แค่นี้ก็ทำให้เพื่อนคิดได้ ว่ามีแต่เรา ที่บ้า ยังโมโหอยู่คนเดียว
ขอโทษที่ไม่มีศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับบทความนี้ เนื่องจากอ่านฉบับแปล ถ้ามีโอกาสจะหาต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านแน่นอน เพราะบางครั้ง อ่านวลียืดยาดในภาษาไทย ก็ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน
Subscribe to:
Posts (Atom)