Sunday, July 1, 2012

คนเราจำเป็นต้องนับถือศาสนาหรือไม่?

ตามกระทู้นี้มาสองวัน

สรุปอย่างย่อๆ จขกทเค้าถามว่า มันผิดไหม ถ้าเค้าจะไม่นับถือศาสนาใดๆเลย
และมีไหมที่คนไม่นับถือศาสนาจะมีชีวิตอย่างเป็นสุขและอยู่อย่างสบาย (เงินทองไม่ขาดมือว่างั้นเหอะ)

ไอ้ประเด็นหลังไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึง

ประเด็นคือ ความเห็นนี้น่าสนใจมาก



คนเราดีได้โดยที่ไม่ต้องมีศาสนา ที่จริงคนจะดีอย่างแท้จริงได้ต้องไม่มีศาสนา การมีศาสนามาออกบทลงโทษหรือรางวัล มันก็แค่ทำให้คนเห็นแก่ตัวแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา เพียงแต่เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวกว่าที่จะได้เฉพาะหน้าก็เท่านั้น น้องยังคงไม่เข้าใจ ก็แนะนำไปแล้วว่าอย่าใช้หนังทีนคิด


จากคุณ : tiktaalik
เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 14:08:17 A:58.9.221.166 X: TicketID:287399



คหนี้แหละที่น่าสนใจ 

และความเห็นอื่นๆของเค้ายังมีอีก ที่บอกว่า ศาสนา ต้องสืบต่อเพื่อไม่ให้มันหายไป
ถ้าสังคมมีแต่ความสุข วันนั้นศาสนาจะหายไป เพราะคนไม่ต้องพึ่งศาสนาอีกแล้ว 

พยายามจะเรียบเรียงความคิดตัวเอง ว่าทำไมศาสนาถึงสำคัญ 

ประมาณปีที่แล้วได้อ่านกระทู้หว้ากอกระทู้นึง 

มีความเห็นนึง ตอบประโยคที่น่าสนใจมาก 

เค้าบอกว่า 

ปลาทองมันว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลา มันไม่รู้ตัวหรอกว่าน้ำที่ตัวเองว่ายวนไปวนมานั้นมันคือในตู้ปลา 

จนมีปลาทองตัวนึง มันกระโดดออกไปนอกตู้ปลา แล้วก็เห็นว่าเพื่อนปลาทองของเรา กำลังว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลา 

มันเลยตะโกนเข้าไปบอกเพื่อนว่า "เฮ้ยพวกนาย กำลังว่ายวนไปมาอยู่ในตู้ปลานะโว้ย มันไม่ใช่ทะเลหรือแม่น้ำกว้างใหญ่ อย่างที่พวกนายคิด"

ตอนอ่านเจอครั้งแรก ปิ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง 
ต้องเล่าก่อนว่า น้องสาวมันทิ้งปลาทองตัวนึง ไว้ให้น้องอีกคนเลี้ยง เพราะตัวมันต้องไปอยู่เมืองนอก
ทุกครั้งที่เห็นปลาทองตัวนั้น มันว่ายวนไปวนมาในตู้ปลาอันแสนแคบของมัน น้ำตามันพาลจะไหลทุกที เพราะสงสารมัน 

แต่พออ่านความเห็นนี้เข้า ถึงกับปิ๊ง เฮ้ย เราไปคิดแทนปลาทองนี่หว่า ปลาทองมันคงไม่รู้ตัวหรอกว่ามันว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลาน่ะ 

แต่.. ยังไม่จบเท่านั้น 

คำพูดที่ว่า ปลาทองตัวนึง ตะโกนเข้าไปบอกปลาทองที่อยู่ในตู้ว่า พวกมันกำลังว่ายอยู่ในตู้ปลา 
มันคือคำพูดที่แฝงนัยยะว่า 

คนเรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ (เหมือนกะบรรดาปลาทองในตู้พวกนั้น) 
แต่มีปลาตัวนึง ที่สามารถกระโดดออกไปนอกตู้ปลาได้ และเห็นว่า เพื่อนปลาทองของเรานั้น ว่ายวนไปวนมานี่หว่า 
ปลาทองตัวที่กระโดดออกไปนอกตู้ปลาได้ ก็เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้ความจริงแท้ แล้วประกาศให้ปลาทองตัวอื่นๆ(ก็คือคนเรานั่นล่ะ) รู้ว่า เรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นะ ยังว่ายวนไปวนมาอยู่ 

เนี่ยคือคำพูดจุดประกายที่ทำให้ศึกษาธรรมะให้ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่แค่ศาสนาที่เขียนอยู่ตามหน้าบัตรประชาชนเท่านั้น 

เริ่มจากอ่านแนวคิดของเซนก่อน อ่านแล้วชอบ ก็ต่อด้วยพุทธธรรมเลย เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าอะไรอยู่ในพระไตรปิฎก และพุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ ก็ขยายความให้คนที่ความรู้เรื่องศาสนาพุทธไม่ได้ลึกซึ้งอะไร เข้าใจได้ง่ายขึ้น 

คำตอบที่เราอยากจะตอบความเห็นที่ยกมาข้างต้นคือ 

ศาสนาไม่ได้มีแค่ต้องการให้คนเป็นคนดี ถ้าคุณต้องการให้สังคมสงบสุขและเรียบร้อย คุณไม่ต้องให้คนนับถือศาสนาหรอก 
คุณแค่ออกกฎหมายมาควบคุมประชาชนก็พอแล้ว 

เพราะถ้าแค่คนจะดีไม่ต้องพึ่งศาสนา แค่มีกฎหมายก็พอ อันนี้ถูกต้อง 

แต่ สิ่งที่คนเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังว่ายอยู่ในอ่างปลานั่นอ่ะ มันคือหัวใจของศาสนา มันคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าพบคำตอบจริงๆ ท่านจึงประกาศออกมา 

ความสุขที่คนเราเสพกันอยู่ทุกวันนี้ มันคือกามสุข ความสุขอย่างหยาบ 
ลองตรึกตรองดูดีๆ วันนี้ชีวิตคุณมีความสุขดี ร่างกายแข็งแรง มีอาหารกินครบสมบูรณ์ทุกมื้อ มีคนรักที่เข้าใจกันดี 
คุณมีความสุขใช่มั๊ย 

แต่ถ้าวันนึง คุณเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา เจ็บป่วยอย่างยาวนาน ระหว่างรักษาก็เจ็บตัว เหนื่อย เสียเงินทอง คุณเริ่มทุกข์แล้วใช่มั๊ย 

เพราะคุณไม่เคยเตรียมตัวที่จะเจอความทุกข์ คุณก็ยิ่งทุกข์มาก ถูกมั๊ย 

ซึ่งตรงนี้ สิ่งที่มาเติมเต็มคุณ คือศาสนา เพราะแค่กฎหมาย มันไม่ทำให้คุณพ้นจากความทุกข์แน่นอน 

และสิ่งที่พระุพุทธเจ้า ประกาศให้สาวกรู้คืออะไร 

ท่านพูดว่า ความจริงแท้ คือ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แต่มนุษย์ก็ยังยึดความไม่แน่นอนนั้นเป็นสรณะ 

มนุษย์ยึดทุกอย่าง 

ทรัพย์สิน เงินทอง , คนรัก , อุดมการณ์ , ศักดิ์ศรี และ ฯลฯ อะไรที่นึกออก คุณกำลังยึดทุกอย่าง 

ซึ่งทุกอย่างที่คุณกำลังยึดมันไว้ มันไม่จีรังยั่งยืน 

พอมันเปลี่ยนแปลงไป มันหายไป มันตายไป คุณก็ทุกข์ คุณทุกข์ เพราะคุณยึด 

พระพุทธเจ้าจึงบอกให้เราพยายามละมันซะ ละมันไป อย่าไปยึดติดกับมัน 

เมื่อใดที่คุณทำได้ คุณจะพบความสุขที่มันเหนือกามสุข 

ซึ่งเราก็รอให้ถึงวันที่เราจะพบกับความสุขอย่างละเอียดแบบนั้นเช่นกัน 

สิ่งนึงที่คนสงสัยในศาสนา ก็คือพิธีกรรมต่างๆ ทำบุญ ตักบาตร 

สิ่งที่เราไม่ทำ 
1. เราไม่เคยตื่นมาใส่บาตรในวันเกิด
2. พวกชวนทำบุญตามบ้าน เราไม่เคยทำสักครั้ง
3. เราไม่สวดมนต์ บทสวดมนต์อย่างง่ายเรายังลืมเลย 

สิ่งที่เราทำ 
พยายามมีสติกะทุกวินาทีของชีวิต บางทีมันก็หลุดมั่ง ก็พยายามดึงสติกลับมา 
แล้วบางเวลาที่รู้สึกว่าสตินิ่ง เราจะมีสมาธิ และสมาธินี่แหละ ที่ทำให้เราได้พิจารณาอะไรที่มันละเอียดๆจริงๆ 

เวลาไหนที่ทำได้ถึงขั้นนี้ มันจะรู้สึกสงบอย่างประหลาด 
(ไม่นั่งสมาธินะ ถ้าว่างจริงๆ มีเวลาถึงจะนั่ง) 

เอาเวลาที่ทำงานบ้านในชีวิตประจำวันนี่แหละ พยายามให้มีสติกะทุกความเคลื่อนไหวของร่างกาย 
แล้วก็พิจารณามันไป 


สิ่งที่ได้จากสติคือ จิตใจเราจะไม่วอกแว่ก ไปกะอดีต หรือความกลัวของอนาคต เราจะนิ่ง แล้วพิจารณาสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วกิเลสมันจะหายไปเอง 

จากแต่ก่อน เคยอ่านที่พวกนั่งสมาธิคุยกันนะ ความรู้สึกคือ "ประสาท คุยไรกันไม่เข้าใจ" 
ตอนนี้เรารู้สึกว่า เรากำลังเข้าพวกกะคนที่เราเคยด่าอยู่ 

เราถึงถามว่า คุณเคยปฏิบัติจริงจังรึยัง ถึงบอกว่ามันไม่ดี 

No comments:

Post a Comment