Monday, January 30, 2012

Zen Everyday#7 วิถีแห่งเซน

เซนเป็นแขนงหนึ่งของศาสนาพุทธ
เซนเป็นแค่นิกาย สิ่งหนึ่งที่เซนต่างจากศาสนาพุทธก็คือ

เซนไม่เคยบอกว่า ห้ามทำอะไร หรือ ต้องทำอะไร 

เซนบอกอย่างเดียวว่า มองทุกอย่างให้เป็นความว่างเปล่าเข้าไว้ 

บอกวิธี ว่าเราต้องทำอย่างไร ถึงจะมองเห็นความว่างเปล่านั้น

ตอนอ่านเจอจุดนี้ ก็สงสัย แล้วเซนจะช่วยพัฒนาจิตใจได้อย่างไร?

วันนี้ หลังจากพยายามตั้งสติ เรียกสติกลับคืนมา

ก็ค้นพบว่า การอยู่กับปัจจุบันขณะ นั่นคือการกำจัดกิเลสออกไปทางอ้อมนั่นเอง

ลองยกตัวอย่างดูนะ

หุ้นที่คุณซื้อไว้ จู่ๆก็ขึ้น ได้กำไรมหาศาล สองสามเท่า

ถ้าคุณมัวแต่เอาใจไปผูกไว้กะหุ้น 


"อ่า หุ้นขึ้นแล้ว ขายทำกำไร เอาเงินไปซื้อไรดีน้าาาาาาาาาาาาาา" คุณเอาแต่คิดแบบนี้ตลอดเวลา 


แล้วผลที่ได้ก็คือ กิเลสก็ครอบงำคุณ 

กลับกัน ถ้าคุณอยู่กะปัจจุบันขณะ

มองแค่ปัจจุบัน และตั้งสติจดจ่ออยู่กะปัจจุบัน 
โดยที่สมองของคุณ ไม่มีวอกแว่กไปคิดเรื่องใดๆเลย 


กิเลส มันก็ไม่มา เพราะคุณไม่เห็นอะไรอย่างอื่น นอกจากวินาทีนี้ ปัจจุบันนี้เท่านั้น 

นี่ก็น่าจะเป็นกุศโลบายอย่างนึงของเซนกระมัง ที่ทำให้เราค่อยๆ ลด ละ เลิก จากความอยากทั้งปวง

อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า ลองหาหลักยึด และตั้งสติอยู่กะปัจจุบันดู ...

Zen Everyday#6 ตั้งหลัก

คนเรามีจุดอ่อนกันทุกคน
ปกติ ก็ตั้งสติกันได้ดี มีสมาธิจดจ่อ
แต่พอโดนจี้จุดอ่อนเข้าครั้งใด มันก็ออกอาการเป๋กันได้ทุกคน

เร็วๆนี้ก็เจอเหมือนกัน เป็นจุดอ่อนที่สุดเลยก็ว่าได้
พอโดนจี้เข้าให้ เสียหลัก ถอยรูด ไอ้ที่เคยทำได้ดี
กำจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปได้ดี
กลับเป็นว่า ต้องไปตั้งต้นกันใหม่
ไอ้ที่ทำๆ สะสมไว้ตั้งหลายวัน มันก็กระจายไปหมดแล้ว

เปรียบให้เห็นภาพ ก็ให้นึกภาพคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น 
ก็ตีเท้าเกาะโฟมไปเรื่อยๆ 
เจอคลื่นใหญ่ซัดเข้ามา มือที่เกาะโฟมไว้ มันก็หลุด 
ต้องเสียเวลาแหวกว่ายซะจนเหนื่อย กว่าจะหาหลักเจอ 

วันนี้ดีขึ้นแล้ว เจอหลักแล้ว เกาะมันไว้ซะแน่นเลย

ไม่อยากตะกายน้ำ คว้าหลักอีก มันเหนื่อย ....

Thursday, January 26, 2012

Zen Everyday#5 กระวนกระวาย



หุ้นขึ้น แต่กลับไม่ดีใจ กลายเป็นหงุดหงิดใจทั้งวัน
จนบอกตัวเองว่า ลงกลับไปราคาเดิมเหอะ จะได้หายหงุดหงิด

จริงที่เราไปให้ค่ามันเอง จริงๆ มันก็อยู่ของมันแบบนั้น

เราต่างหาก ที่ไปกำหนดค่าให้มัน ให้มันมีความสำคัญ หรือให้มันด้อยค่า มันอยู่ที่เราจริงๆ

พอเปิดหนังสืออ่าน เพื่อหาตะขอมาเกี่ยวตัวเองกลับ

อ่านแล้วก็ดีขึ้น เรายังมีอัตตาอยู่เยอะจริงๆ เราไปยึดเหนี่ยวมูลค่าที่เราไปใส่ให้หุ้นมัน
ซึ่งในความเป็นจริง มันก็อยู่ของมันแบบนั้น
เราเองต่างหาก ที่ไปมองว่า มัน "มีค่า" หรือ มัน"ด้อยค่า" เอง

กลับมาที่หนังสือ ได้อะไรมาหลายอย่าง

มองทุกอย่าง ในแบบที่มันเป็น อย่าไปคิดแทนมัน มองอย่างเดียว มองให้ทะลุ

ชอบ Quote นี้

"ชีวิตที่ปีติสุขไม่ได้มาจากการเสาะหาความสุข แต่อยู่ที่การรับรู้ และแค่อยู่กะสถานการณ์ต่างๆของชีวิตอย่างที่เป็น"

ทำไมถึงห้ามใส่ความคิดเห็น 

เวลาที่เราวิจารณ์ หรือใส่ความคิดเห็นให้เรื่องใดๆก็ตาม
มันเหมือนกะว่า เรากำลังโบกปูน พอกตัวเราให้หนาขึ้น
ก็เพราะเรากำลังสร้างตัวตนของเราขึ้นมา เพื่อไปมองอะไรก็ตามให้เป็นแบบที่เราคิด

แต่ถ้าเราหยุดวิจารณ์ มองทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น มันก็เหมือนกะการขัดเกลาจิตใจของเราให้บางลง
ลบตัวตนของเราออกไปทีละนิดๆ จนเราไร้ตัวตนนั่นเอง

Everything comes with the price จริงๆ ฝึกกันอีกนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

Monday, January 23, 2012

Zen Everyday #4 ไม่เคยมี

ซื้อหุ้นปั่นไว้ตัวนึง ติดดอยมันมา 5 ปี หุ้นปั่นก็รู้ๆอยู่ มันชอบให้ของแถม แจกวอร์ เพิ่มทุน เพิ่มหุ้นมั่งไรมั่ง

ไอ้หุ้นตัวนี้ก็ไม่ต่างกัน แถมวอร์มาให้
ด้วยความที่ิติดดอย(สูงมาก) ก็เลยไม่สนใจ ไม่ดูมัน วอร์ที่ได้มาฟรีๆ ก็ไม่ยอมขาย

จนวันนึง ได้จดหมายมาถามว่า "คุณจะแลกเป็นหุ้นแม่ไหม?" เพราะมันหมดอายุแล้ว
เห็นแบบนั้น โอย โมโห เลือดขึ้นหน้า หงุดหงิดไป 3 ชั่วโมง

ทำไมไม่ดูวันหมดอายุวะ
ทำไมไม่ยอมขายวะ
ด่าทอตัวเอง

พอครบสามชั่วโมง ค่อยสงบสติอารมณ์ได้

แล้วก็นึกได้ว่า ไอ้ลูกหุ้นตัวนั้น เราได้มันมาฟรีๆใช่รึเปล่า? 
ตอบ.. ใช่ 

แล้วตอนนี้มันก็แ่ค่หายไป ใช่รึเปล่า?
ตอบ.. ใช่ 

แล้วเราจะเสียใจทำไม ก็ในเมื่อ.."มันไม่เคยมี" 

อาการที่เราเสียใจ เป็นเพราะเรายึดติดมันไงล่ะ
เรายึดติดทุกอย่าง ทุกอย่างคือ ตัวกู ของกู ทั้งนั้น

แล้วถ้าเราคิดอีกทางนึงล่ะ
คิดซะว่า ทุกอย่างมันไม่เคยมีอยู่จริง แล้วพอมันหายไป มันก็แค่หายไปเฉยๆไงล่ะ
เพราะมันไม่มีอะไรมาตั้งแต่ต้นแล้ว

พยายามฝึกจิตใจ อย่าไปยึดติด

เคยได้อันดับที่หนึ่ง พอหล่นปุ๊มาอันดับที่สอง เราก็เสียใจ เพราะเราไปยึดติดกะอันดับหนึ่งของเรา

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่แน่นอน อะไรที่เราคิดว่าใช่แน่ๆ จริงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนไป
มันไม่มีหรอก

มีเกิด.. มีดับ..
มีทุกข์.. มีสุข..
มีขึ้น.. ก็ย่อมมีลง..

ถ้าเราเลิกยึดติดกะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เราจะไม่ทุกข์

ท่องเอาไว้ ทุกอย่างไม่เคยมี 



Sunday, January 22, 2012

Zen Everyday #3 ห้ามบ่น

กระบวนการในการ"บ่น"เริ่มจาก

1. ระลึกชาติ 30 นาทีก่อนหน้า ก็ถือว่าเป็นการระลึกชาติ
2. อารมณ์เริ่มขุ่นมัว ...แง่มๆ เหยียบเท้าแล้วไม่ขอโทษเร๊อะ...
3. ตอกย้ำ ...ทั้งทาง Facebook Twitter อัพสเตตัส บ่น ด่าทอ มันเข้าไป.. แถมยังโทรไปเล่าให้เพื่อนฟังอีก...
4. หัวเริ่มร้อน อารมณ์ขุ่นมัว เนื่องจากใช้พลังงานในการพร่ำบ่น พิมพ์บ่น
5. รู้สึกหงุดหงิดที่โดนเหยียบเท้าไปอีก 3 ชั่วโมง 

เริ่มมองเห็นภาพไหม เวลาเราบ่นแล้วเราจะได้อะไรพ่วงมาด้วย

เราต้องสูญเสียพลังงานโดยไม่จำเป็นไปเท่าไหร่ ต่อการบ่น 1 เรื่อง
เราต้องเสียสมาธิในการทำงานไปกะอารมณ์ขุ่นมัวไปเท่าไหร่ ต่อการบ่น 1 เรื่อง
งานการเราต้องเสียหายเท่าไหร่ จากการที่เราเสียสมาธิจากการบ่น 1 เรื่อง

การบ่นคือการนึกถึงอดีต เมื่อสิบนาทีก่อนมีคนเหยียบเท้าคุณ แล้วก็ไม่ขอโทษคุณ คุณรู้สึกโกรธ อารมณ์เริ่มเสีย แล้วก็เอาไปพาลกะคนรอบข้าง

การนึกถึงอดีต ไม่ใช่เรื่องที่ดี เราอารมณ์เสีย กะเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว จะสิบนาทีก่อน หรือจะ 1 นาทีก่อน มันก็คืออดีต มันไม่ใช่ปัจจุบัน

เราควรมีสติตั้งมั่นอยู่กะปัจจุบัน โฟกัสอยู่กะนาทีนี้ วินาทีนี้ อย่ามัวไปเสียเวลาระลึกชาติกันอยู่เลย มันไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก

หรืออย่ามัวเพ้อฝันถึงอนาคต ว่ามันต้องเป็นอย่างโง้นอย่างงี้

มาโฟกัสอยู่กะปัจจุบันกันเถอะ และที่สำคัญ "เลิกบ่น"

Wednesday, January 18, 2012

Zen Everyday#2 เรามองแต่ไม่เคยเห็น

เคยลองพิจารณาอารมณ์ตัวเองแบบละเอียดถี่ถ้วนไหม? สังเกตไหมว่า ในหัวเราคิดตลอดเวลา
และตอนที่เรากำลังปล่อยอารมณ์ล่องลอยไปกะสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวเรา เราจะเห็นภาพในสิ่งที่เรากำลังคิด
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรากลับมองไม่เห็น 

เช่น ตอนที่กำลังยืนล้างจาน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเคยชิน เราล้างจานทุกวัน เราก็ล้างไป คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย

สุดท้าย เราเลยไม่เคยเห็นจาน หรือ ช้อน หรือส้อม ที่เรากำลังหยิบจับล้างมันอยู่เลย แต่เรากลับไปเห็นอะไรมากมาย ในมโนภาพที่เรากำลังคิด อาจจะเป็นหนังที่เพิ่งดู เพลงที่เพิ่งฟัง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรากลับไม่เคยเห็นเลย

ตอนนี้พยายามฝึกตัวเอง ไม่ให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย (บอกแล้วเราเคยชินกะมันมาทั้งชีวิต เราปล่อยปละละเลยมานานแล้วกะความคิดที่ล่องเลย ไร้ระเบียบ) พอเริ่มจัดระเบียบความคิดในหัวใหม่
อย่างแรกเลย มันยากมาก ยากที่จะไล่จับให้หัวเราอยู่นิ่งๆ มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า โฟกัสกะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

แต่เชื่อมั๊ย สิ่งที่เราได้คือ  "ความสงบ" รู้สึกว่า หัวเราโล่ง ไม่มีขยะความคิดลอยไปลอยมา 

เรากลับนิ่ง สงบ และเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และสิ่งที่สำคัญ เราจะละเอียดกะอารมณ์ของเรา เราจะเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในอารมณ์ของเรา แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต

ยังไม่ต้องเชื่อตอนนี้ก็ได้ อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง ต้องลองฝึกกันเอาเอง 

วิธีการโฟกัสกะปัจจุบัน 

ทำยังไงให้เราสงบ และอยู่กับปัจจุบันได้ ตอนแรกๆ มันยากมาก เพราะไม่รู้ว่า จะเอาหลักอะไรมายึดให้หัวเราอยู่นิ่งๆ ไม่คิดนู้นคิดนี่ตามอำเภอใจ

ตอนแรกใช้วิธี ตาเรามองเห็นอะไร ก็ย้ำกะตัวเองว่าเรากำลังเห็นอะไร 
แต่วิธีนี้ มันจะได้ไม่ถึงนาที มันก็เอาอีกแล้ว

พออ่านหนังสือรอบที่สอง ผู้เขียน อาจารย์โจโกะ บอกว่า ใช้วิธีฟัง ฟังทุกสิ่งที่หูเราได้ยิน แล้วฟังให้ลึก ฟังว่า เสียงที่เราได้ยินคืออะไร 

วิธีฟัง นี่เวิร์คมาก พอหัวเราเริ่มคิด ก็พยายามฟังให้ได้ยิน ว่าตอนนี้เรากำลังได้ยินเสียงอะไร วิธีนี้เวิร์คสุดๆ

หยุดบ่น การบ่นคือการพูดถึงอดีต (ถ้าจะยกตัวอย่าง ก็แปลว่าเรากำลังจะบ่น ((อีกแล้ว)) ) 

เวลาที่หัวเริ่มไปนึกถึงเรื่องขุ่นเคืองใจ ก็พยายามหยุดความคิดตัวเองโดยฉับพลัน หยุดใ้ห้มันสนิท แล้วย้ำกะตัวเองว่า มันคืออดีต มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วเรื่องนั้น มันก็มลายหายไปของมันเอง

แล้วผลพลอยได้คืออะไรรู้มั๊ย เวลาเราเริ่มจะบ่น เริ่มจะคิด เริ่มจะวิจารณ์ใครอีกแล้ว หัวมันจะร้อนของมันเอง ไม่รู้ว่า มันคือผลพวงที่ดีหรือแย่เนี่ย เพราะพอหัวเริ่มร้อน มันจะหยุดของมันเอง เพราะขืนคิดต่อไป หัวระเบิดแน่ๆ -*-




Tuesday, January 10, 2012

Zen Everyday #1


The beginning 

เราใช้ชีวิตด้วยการกำหนดเงื่อนไข เช่น ถ้าชั้นได้สิ่งนั้น ชั้นจะมีความสุข หรือ ถ้าฉันรักเธอ เธอต้องรักชั้นตอบ
ตั้งแต่เกิด จนโต เราใช้ชีวิตกันมาแบบนี้ มีตัวเรา และมีสิ่งอื่นๆ เราพยายามแยกตัวเราอีกคนออกมา เราใช้สิ่งที่จำกัด คือ กายกับจิต ไปมองสิ่งอื่นๆ ก็จะกลายเป็นว่า เราใช้สิ่งที่จำกัด(มุมมอง) ไปมองสิ่งภายนอกที่มันก็จำกัดอีกแหละ ใช้สิ่งที่จำกัดไปมองสิ่งที่จำกัด เราถึงต้องวนเวียน ทุกข์ซ้ำซากนี่ไง

ปัญหา มันไม่ใช่สิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ใช่ใคร สิ่งของ หรือสิ่งอื่นๆ ที่มาทำให้เราทุกข์ ความทุกข์ มันอยู่ที่ความคิดเราเองต่างหาก 

ดังนั้น หนทางในการพ้นทุกข์ เราต้องฝึกกำหนดความคิด

-การปลดปล่อยความคิดที่เกิดขึ้น
ความคิดของเรามันยุ่งเหยิง มันสับสนวุ่นวาย เคยมั๊ย ที่กำลังร้องเพลงนึง แล้วยังสามารถร้องอีกเพลงซ้อนขึ้นมาได้พร้อมกัน
นั่นแหละตัวอย่างของความคิดที่สับสน เราต้องเริ่มต้นจัดระเบียบความคิดของเรา ณ บัดนาว :)

เวลาที่เราเกิดความคิดขึ้น (ขอเรียกมันว่า ความคิดขยะละกัน เพราะมันเป็นความคิดฟุ้งซ่านของเราเอง) เราต้องปล่อยให้มันเกิด แล้วก็ปล่อยให้มันเลือนไปเอง ห้ามไปบังคับความคิด การไปบังคับมัน ก็เหมือนเราพยายามกลับไปแยกตัวเราออกมาอีกคน (เค้าเรียกว่า ทวิภาวะ) วิธีการที่ดีที่สุดคือ ให้เตือนตัวเองว่า failed อีกแล้วเธอ หยุดเดี๋ยวนี้ แล้วก็กลับไปตั้งสติ ตระหนักรับรู้ปัจจุบันใหม่ ความคิดขยะเหล่านี้ไม่ใช่ของจริง ถ้าเราทำบ่อยๆ ย้ำตัวเองบ่อยๆ ก็เหมือนเราดูหนังเรื่องเดิม ที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเราจะเบื่อมันไปเอง

ความคิดมีสองประเภท ประเภทแรกคือ ความคิดที่มันจำเป็นต่อชีวิตของเรา เช่น ข้อเท็จจริง ความรู้ในการทำอาหาร ความคิดในการคิดเลข ซึ่งมันเป็นความคิดที่สำคัญและเราก็จำเป็นต้องใช้มัน
ประเภทที่สอง คือความคิดขยะ ความคิดฟุ้งซ่านของเรา ความเห็น การตัดสินใจ ความทรงจำ การฝันถึงอนาคต ซึ่งเป็นความคิด 90%  ของความคิดทั้งหมดที่เราคิดในแต่ละวัน เราเสียเวลากันทั้งชีวิตให้กับความคิดขยะเหล่านั้น

ถ้าเราฝึกฝนบ่อยๆ เวลาเกิดเรื่องขุ่นเคืองใจ เราจะกำจัดความขุ่นเคืองใจออกไปได้เร็วขึ้น เรื่องก็จะจบลงเท่านั้น เพราะเราไม่ยึดติดกับความโกรธ เราฝึกแบบนี้บ่อยๆ มันจะไม่ทำให้เรากลายเป็นคนไร้ความรู้สึกนะ แต่กลับจะทำให้เราลึกซึ้งกะความคิดมากขึ้น มีความรู้สึกที่แท้จริงมากขึ้น เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น เพราะเราจะไม่ยึดติดกะตัวตนของเรา (เหมือนเป็นการลดอัตตาของเรา) 

การทำงานในชีวิตประจำวัน
เราควรโฟกัส คิดเฉพาะเรื่องงานตรงหน้าเท่านั้น ห้ามบ่น เช่นถ้าต้องขัดห้องน้ำ ก็ขัดไป ตั้งใจขัด อย่าบ่นว่า ทำไมคนนู้นไม่ราดน้ำ ทำไมคนนี้ ทำพื้นสกปรก นั่นคือความคิดขยะ ที่เราควรกำจัดมันออกไป

Monday, January 9, 2012

แค่นี้นี่นะ.....!!!!


คำว่าหลุดพ้น ในทางพุทธศาสนามันดูยิ่งใหญ่ ดูเอื้อมไม่ถึง
แต่พอรู้ความจริงแล้ว คำว่าหลุดพ้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย มันไม่ใช่อีกโลก โลกพระศรีอาริย์ หรืออะไรเลย

เชื่อมั๊ย ว่ามันอยู่แค่ปลายจมูก ปลายจมูกเรานี่แหละ 

หลุดพ้นในที่นี้ คือการหลุดพ้นจากบ่วงความคิดเรา 

อริยสัจสี่ ของพระพุทธเจ้าก็คือความจริง แต่.. คำว่าทุกข์ อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ มันคือความคิดของเรา
ทุกข์ไม่ใช่ โดนพ่อด่า โดนแม่ตี โดนเพื่อนนินทา หรือโดนใครต่อใครทำร้าย
ทุกข์เกิดจากความคิดของเรา 

โดนพ่อด่า เราโกรธ เราอาย นั่นคือความคิดเราที่โกรธหรืออาย ถามว่า ถ้าเราโดนพ่อด่าแล้วเราไม่โกรธ เราไม่อาย เราจะทุกข์มั๊ย?

พอรู้ความจริงแค่นี้ ถึงกะอุทานว่า หลุดพ้น เรื่องแค่นี้เองเหรอ

หนทางที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดเรานี่สิ ดูจะยาก แต่ก็ไม่ยากเกินจะฝึกฝน

ถ้ามีคนทำให้เราเกิดอารมณ์โกรธบ่อยๆเราควรจะดีใจ หรือเกิดอารมณ์อิจฉา ริษยา เราก็ควรจะดีใจ
นั่นหมายความว่า ยิ่งเกิดบ่อย เรายิ่งมีโอกาสจะได้พิจารณาอารมณ์ของเราได้บ่อยขึ้นเท่านั้น

วิธีพิจารณาก็ง่ายมาก เราต้องครีเอทอีกคนออกมา ซึ่งเราจะเรียกว่าผู้สังเกตการณ์
มาเฝ้าดูเรา ผู้ซึ่งกำลังโกรธอยู่ ว่าเรามีปฏิิกิริยาอย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไร เมื่อเราเกิดอารมณ์โกรธ
ฝึกบ่อยๆ ทำบ่อยๆ จะได้ชิน แล้วจะได้หลุดพ้นกับเค้าได้สักที

พอรู้ความจริงข้อนี้ ต้องขอบคุณพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ท่านค้นพบความจริงข้อนี้ แล้วเอามาเผยแผ่ให้คนอื่นฟัง

ถ้าเราเกิดในสมัยพุทธกาล ได้ยินคงคิดว่า พระพุทธเจ้า่ท่านต้องบ้าแน่ๆ พูดอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจ

เหมือนที่เพื่อนเราคนนึง เค้าเคยพูดว่า "ให้ฝึกโทษตัวเอง" ตอนได้ยินครั้งแรก ห๊า อะไรนะ ทำไมเราต้องโทษตัวเองด้วย ก็เราไม่ผิด

ผ่านมาหลายปี เพิ่งจะเข้าใจว่าคำว่า โทษตัวเอง หมายถึงอะไร มันหมายถึง การควบคุมความคิดของเรา ที่จะไม่ทำให้เกิดอารมณ์โกรธคู่กรณีเราต่างหาก

แล้วคำว่า "พิจารณา" ที่หลวงปู่ชอบพูดบ่อยๆ ตอนนั้นได้ยินคำว่าพิจารณา ก็นึกที มันคืออะไร ทำไมอะไรๆ ก็ต้องพิจารณา

ตอนนี้เข้าใจแล้ว เข้าใจจริงๆ พิจารณา เป็นอะไรที่เล็กมาก คือการพิจารณาอารมณ์ของเรา
เวลาที่เราโกรธ เราต้องพิจารณาขั้นตอนทุกขั้นตอนอย่างละเอียดยิบ เราโกรธยังไง กล้ามเนื้อหน้ากระตุก หน้าร้อนผ่าวๆ หัวสมอง รู้สึกมีอะไรพุ่งพล่านอยู่ในหัว นั่นแหละ พิจารณาเข้าไป ให้ละเอียด ทำบ่อยๆ แล้ววันนึง เราจะรู้เองว่าเราต้องทำอย่างไรกะอารมณ์โกรธ

พระพุทธศาสนา ที่คิดว่าตัวเองเข้าใจแก่นของมันมาตั้งหลายปี จริงๆแล้วเราไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เลยจริงๆ

Saturday, January 7, 2012

เซน ... ส่วนเติมเต็มของศาสนาพุทธ

นับถือศาสนาพุทธเหมือนคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย
ศึกษาศาสนาพุทธตามหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ และอ่านเอาบ้าง จากนอกตำรา
แต่ไม่เคยรู้ว่า คนพุทธนั่งสมาธิไปเพื่ออะไร
รู้แต่ว่าให้กำหนดลมหายใจเข้าออก มีสติอยู่กะตัวตลอดเวลา รับรู้ลมหายใจผ่านเข้าออก
แต่...รับรู้ไปเพื่ออะไรล่ะ ไม่เคยรู้คำตอบ

จนกระทั่งได้มาอ่านหนังสือเกี่ยวกับนิกายเซน สิ่งที่เฝ้าสงสัย ได้คลายความสงสัย ว่าเรานั่งสมาธิไปเพื่ออะไร

เซน เป็นนิกายหนึ่งของพระุพุทธศาสนา เซน เน้นที่การฝึกปฏิบัติ เรานั่งสมาธิไปเพื่อให้รู้ว่า เราไร้ตัวตน

เราไม่เคยมีตัวตน ไม่เคยมีอดีต อนาคต และแม้กระทั่งปัจจุบัน

ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วต้องบอกว่า 60% คือสิ่งที่ทำอยู่ และทำมานานแล้ว

แต่มันเหมือนเรากวาดขยะมากองไว้หน้าบ้าน แต่เราไม่รู้วิธีเอาขยะไปทิ้ง

พออ่านปุ๊บ เหมือนมันจุดประกาย ว่าเราต้องเอาขยะไปทิ้งยังไง

เซนเป็นส่วนเติมเต็มของศาสนาพุทธจริงๆ

หลักใหญ่ๆของเซนเน้นเรื่องการไร้ตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแต่มายา

เราไร้ตัวตน

ถ้าจะอธิบายเซนให้ Geek ฟัง ต้องบอกว่า 
เราเปรียบเสมือน core ของระบบปฺฏิบัติการ แต่คนส่วนใหญ่ หลงใหลแต่ UI (user interface-ส่วนติดต่อผู้ใช้) 
แล้วเราก็หลงลืมไป ว่าจริงๆแล้ว core นั่นต่างหากที่สำคัญกว่า หน้ากากอันสวยงามที่ครอบไว้อยู่ 


ถ้านึกกันไม่ออกว่า core กะ UI นี่มันเป็นยังไง ขอให้นึกถึง แอนดรอยด์  (Android)


แอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติของสมาร์ทโฟน จากค่ายกูเกิ้ล ที่ออกมาให้ใช้กันฟรีๆ 
(คุณเข้าใจไม่ผิดค่ะ แต่คุณไม่ได้จ่ายค่าไลเซนท์นะคะ ค่ายโทรศํพท์ต่างหากที่จ่ายให้คุณ แต่เค้าก็เก็บเอาจากคุณอยู่ดี ในค่าตัวโทรศัพท์ที่คุณซื้อ)


ซึ่งตัวระบบปฏิบัติการเพียวๆนี่กูเิ้กิ้ลออกมาให้ใช้ แต่ค่ายมือถือแต่ละค่ายที่เอาแอนดรอยด์ไปใช้ ไปทำหน้ากาก หรือที่เรียกว่า UI ครอบไว้อีกที เพื่อให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้น 


เราจะได้ยินคำว่า HTC sense จากค่าย HTC หรือ ของซัมซุง เรียกอะไรสักอย่าง ลืม 


ของ Sony ก็ทำเองหน้าตาอีกแบบนึง 


สิ่งที่พวกแฟนบอยหลงใหลคือ บอกกันว่า UI ของค่ายไหนสวยสุด ใช้งานง่ายสุด 


แต่ลืมนึกกันไปว่า ตัวระบบปฏิบัติการต่างหากที่รันให้มันสมูธ 
เราเห็นแต่หน้ากาก หรือ UI ของมัน จนเราลืมนึกถึง ไอ้ Core ปฏิบัติการที่รันอยู่ด้านหลัง ถ้ามันรันไม่ได้ มันก็ใช้งานอะไรไม่ได้ ต้อง Hard reset กันท่าเดียว :P


มนุษย์เรา ตอนเกิดมา เรามีแค่ตัวตน (core ของระบบปฏิบัติการนั่นเอง) ส่วนเสริมต่างๆ (add-on) เราใส่กันมาทีหลัง จนนานวัน เราก็ลืมตัวตนของเราไป 

เซน สอนให้เรานึกถึงสิ่งที่สำคัญ คือตัวตนของเราต่างหาก

การใส่คอมเม้นต์ ก็เป็นการแยกตัวเรา ออกจากตัวตนของเรา สิ่งที่เราทำได้ คืออย่าไปตัดสินใคร อย่าไปใส่คอมเม้นต์ใคร
ทำตัวให้เป็นกลาง ปล่อยทุกอย่างให้ไหลผ่านร่างกายของเราไป

อย่างเวลาเราโกรธ เค้าบอกว่า ให้แยกตัวเราอีกคนนึงออกมา แล้วจงมองตัวเราที่ำกำลังโกรธอยู่นั่น (เหมือนคนบ้าไหม) คือเฝ้ามองทุกวินาที ที่เรากำลังโกรธ แล้วเราจะเข้าใจเอง

ทำบ่อยๆ ทำให้ชิน แล้วเราจะเริ่มผสานตัวตนที่เราลืมมันไปให้กลับเข้ามา :)

ชอบอีกตัวอย่างนึงที่ผู้เขียนเล่า

เรื่องเพื่อนมาปรึกษาว่าทะเลาะกะสามีเมื่อสามวันก่อน
พอเล่าจบ ผู้เขียนก็ถามว่า เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เพื่อนก็ตอบว่า ก็สามวันก่อนไง ชั้นบอกเธอไปแล้วไง
ผู้เขียนก็ถามอีกว่า แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นวันไหนล่ะ
จนเพื่อนโมโห แล้วผู้เขียนก็ตอบว่า เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน มันจบไปแล้ว
แต่เธอยังคงโมโหอยู่ ทั้งๆที่เวลานั้นมันก็ผ่านไปแล้วไง


แค่นี้ก็ทำให้เพื่อนคิดได้ ว่ามีแต่เรา ที่บ้า ยังโมโหอยู่คนเดียว

ขอโทษที่ไม่มีศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับบทความนี้ เนื่องจากอ่านฉบับแปล ถ้ามีโอกาสจะหาต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านแน่นอน เพราะบางครั้ง อ่านวลียืดยาดในภาษาไทย ก็ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน