Sunday, December 25, 2011
ศิลปะแห่งการตกหลุมรัก
Twilight ตอนล่าสุดจากหนังสือเล่มสุดท้ายเพิ่งฉายไป ขอเขียนถึงเรื่องนี้สักหน่อย เคยอ่านเมื่อเกือบๆสามปีก่อน 4 เล่มรวด สนุกทุกเล่ม
คร่าวๆคือ Twilight Saga เป็นหนังสือชุด มีทั้งหมด 4 เล่ม เป็นเรื่องราวของ Belle ที่ไปตกหลุมรัก Vampire ในเรื่องจะมีทั้งมนุษย์(Human) แวมไพร์(Vampire) และมนุษย์หมาป่า(Werewolf) เรื่องราวสนุกมาก ตามสไตล์วัยรุ่นรักๆใคร่ๆ จากกระแสแวมไพร์ ก็ลามมาถึงซีรี่ย์ ที่พาเหรดกันมาแวมไพร์ทั้งหลาย
อาทิ Vampire Diaries, True Blood แถมล่าสุดมี Teen Wolf อีกต่างหาก แต่..ไม่เคยดูซีรี่ย์เหล่านี้เลยสักเรื่อง ว่าจะหามาดูอยู่เหมือนกัน รอว่างก่อนนะ
วกกลับมา Twilight ในเล่มที่สี่ มันมีคำศัพท์คำนึงที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต แต่พอได้อ่านจากหนังสือก็เข้าใจความหมายได้ทันทีว่ามันหมายถึง การตกหลุมรัก คำนั้นคือคำว่า imprint เห็นแล้วก็งง มันกลายเป็นความหมายว่าตกหลุมรักได้ไงเนี่ย
ถ้าแปลเป็นไทย ความหมายจะประมาณว่าแรงกว่า "ตกหลุมรัก" ธรรมดาอ่ะ
อันนี้สปอยล์เนื้อหาของเล่มสี่หน่อย
หลังจากที่เบลล่าได้กลายเป็นแวมไพร์ ระหว่างที่สลบไปนั้น ลูกสาวคือ เรเนสเม่ ก็ได้เกิดแล้ว มีทั้งพ่อคือเอ็ดเวิร์ดคอยดูแล และดั๊นมีเพื่อนมนุษย์หมาป่ามาคอยดูแลด้วยคือเจคอบ เจคอบพอแรกเห็นเรเนสเน่ ก็ imprint ทันที พอเบลล่าฟื้นขึ้นมารู้เข้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อย่าว่าแต่เบลล่าโกรธเลย คนอ่านก็งงด้วย เด็กแรกเกิดไป imprint ได้ไงเนี่ย ฮ่าๆๆ
กลับมาที่คำศัพท์เกี่ยวกับการตกหลุมรัก มันมีเยอะมากๆที่เคยเจอ
Fall in love คำนี้ง่ายๆตามตัวเลย ตกหลุมรัก ไม่รู้ว่าไทยแปลมาจากอังกฤษรึเปล่า ถึงใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียงกันขนาดนี้
Crush on you คำนี้ เพื่อนเคยแชทกะฝรั่ง พอเห็นรูปเค้า มันก็บอกว่า "ใช่เลย" ฝรั่งถาม มันแปลว่าอะไรเลย มันตอบว่า Crush on you :)
Love at first sight รักแรกพบ
อยากเจอคำศํพท์เกี่ยวกับตกหลุมรักเยอะๆ แนะนำให้ฟังเพลง หรือดูหนังแนวโรแมนติคคอมเมดี้
อย่างอาการเวลาคนเราตกหลุมรัก ก็อย่างเช่น Take my breath away ตอนเจอคำนี้ครั้งแรก ต้องร้อง โอ้ว ว้าว เวลาเรารู้สึกรักใคร มันจะเหมือนอาการแบบ ลืมหายใจ
ปิดท้ายด้วยคติเกี่ยวกับความรักจากหนังสือ Twilight เล่มสอง
เป็นตอนที่ต่อจากเล่มแรก หลังจากเอ็ดเวิร์ดหายไปจากชีวิตเบลล่า เบลล่าเธอก็เบลอๆ เหมือนคนไร้วิญญาณน่ะ (อ่านถึงตอนนี้เป็นตอนเดียวที่เข้าข้างเบลล่านะ นอกนั้นทั้งเล่มเบื่อเธอมาก)
จนพ่อของเบลล่า ต้องพูดกะลูกว่า
If you love something, set it free , if it was meant to be , it will come back to you.
ความหมายก็คือว่า ถ้าเรารักอะไร หรือรักใครสักคน ให้ปล่อยเค้าไป ถ้าเค้าเป็นของเรา เค้าจะกลับมาเอง
คำว่าฟรี คนไทยจะคุ้นเคยว่ามันหมายถึง ไม่ต้องจ่ายตังค์ แต่ความหมายของคำนี้จริงๆ มันแปลว่า "อิสระภาพ"
set it free ก็คือ ปลดปล่อยมันไป นั่นเอง
Monday, December 19, 2011
Hello Mr.Garfield
Mr.Garfield is the wallpaper on my old cell phone model T610. This one I bought it almost 7 years ago and use it everyday for 5 years. It worked fine but the button annoying me so I bought a new one model w508 I really like it since yesterday this one pass away.
I'm back home insert battery to the old cell phone and ... Oh my god it charging.
both cell phones are Sony Ericsson then I confused this brand good or bad :P
I think I stuck with the T610 until it's actually gone hahaha :)
ศัพท์น่ารู้จากบทความติงต๊อง
Cell phone - โทรศัพท์เคลื่อนที่ บางทีอาจจะใช้ mobile phone ก็ได้ แต่คนเมกันชอบใช้คำว่า Cell phone
Dead - ตายแล้ว
คำว่าตายเนี่ย มีให้ใช้เยอะมาก
Pass away ก็แปลว่าตายได้เหมือนกัน หรือคำว่า gone ในประโยคสุดท้าย
คำนี้เคยเจอเวลาดูพวกซีรี่ย์หมอ เวลาหมอกำลังปั้มหัวใจ ซึ่งตามหลักสากลจะมีการกำหนดว่า ถ้าปั้มหัวใจเกินกี่นาทีแล้วคนไข้ยังไม่ฟื้น ต้อง called death อ่ะ
อย่างเคส หมอปั้มหัวใจผ่านไป 30 นาที คนไข้ก็ไม่ฟื้น หมอที่อยู่ในห้อง ก็จะพูดว่า He's gone แปลว่า เค้าจากไปแล้ว ในกรณีนี้ก็แปลว่าตายเหมือนกัน
จะเลือกใช้คำไหน ก็ต้องดูเป็นกรณีไป
หรือเวลาโทรศัพท์แบตหมด จะต้องพูดว่ายังไง ที่เคยเจอมา พูดง่ายมาก เช่น
My cell phone dead. หรือย่อๆ ก็จะ my phone dead. or my battery dead.
Saturday, December 17, 2011
Homeland
เพิ่งดูจบไม่ไหวล่ะ ขอระบายความอัดอั้นตันใจหน่อย
แรกสุด ทำไมเพิ่งมารู้จักเรื่องนี้ มันสุดยอดของสุดยอดจริงๆ สนุกโคตรๆ
สอง รอเช้าวันจันทร์ไม่ไหวแระ เมื่อไหร่จะถึง ตอนสุดท้ายเนี่ย
เรื่องย่อ
Homeland เป็นเรื่องของ Carrie Mathison เป็น CIA ที่เคยไปทำงานที่อิรัก แล้วได้ข่าวจากสายข่าวว่า the prisoner return ประมาณว่า มีทหารอเมริกันสองคนโดนจับตัวไป โดยที่ไม่มีใครรู้ชะตากรรม
8 ปี ผ่านไป ทหารอเมริกันสามารถเข้าไปทำลายแหล่งซ่องสุมกำลังของกองกำลังก่อการร้ายได้ ก็เจอหนึ่งในทหารสองคนนั้นยังมีชีวิตอยู่
ชื่อว่า Seg. Nicholas Brody ตอนที่Brody ได้รับการช่วยเหลือออกมา ก็ขอให้ติดต่อกับภรรยาเป็นอย่างแรก ตอนที่ Jessica ได้รับโทรศัพท์ เธอกำลังกิ๊กอยู่กะ Mike ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Brody (หุหุ) เล่าข้ามไปดีกว่า
มาถึงฝ่าย CIA Carrie เมื่อได้ยินข่าวเรื่องทหารที่โดนจับกุมไปเมื่อ 8 ปีก่อน ยังมีชีวิตรอดกลับมา ก็บอกกะหัวหน้าคือ Soul ว่า มันแปลกๆ เพราะปกติแล้วเชลย มักจะไม่รอดตั้งแต่ไม่ถึงเดือน เพราะถ้าคนที่จับตัวไป หาข่าว หรือหาประโยชน์จากตัวประกันไม่ได้แล้วล่ะก็ ต้องฆ่าทิ้งทั้งนั้น ไม่ปล่อยไว้จนมีชีวิตรอดมาถึง 8 ปีหรอก มันแปลกๆ ประกอบกับสายข่าวของ Carrie ที่บอกว่า กำลังจะมีการก่อการร้ายเกิดขึ้น และครั้งนี้จะใหญ่มาก
Carrie จึงจัดการไปลอบติดกล้องวงจรปิดที่บ้านของ Seg.Brody ทุกจุด เว้นแต่ในโรงรถที่ไม่ได้ติดไว้ แล้วก็ตามติดดูว่า Brody จะทำอะไร
จากนั้นเรื่องต่างๆก็เริ่มเปิดเผยขึ้นมา จากการนำจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นมาปะติดปะต่อกัน จนถึงตอนจบในที่สุด
วันจันทร์นี้แล้ว รอไม่ไหวแว้วววววววววววววววววววววววว
คำศัพท์เด่นๆที่มาจากเรื่องนี้
CIA คำนี้คุ้นแน่ๆ เพราะมีหนังเกี่ยวกับ CIA เยอะ คำว่า CIA ย่อมาจาก Central Intelligent Agency เป็นหน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา มีสายทำงานทั้งที่เปิดเผย และในทางลับ แทรกซึมอยู่ทั่วโลก (ไม่รู้ว่า ในเกาหลีเหนือจะมี CIA มั่งป่าว :D )
Terrorist ผู้ก่อการร้าย ต้องได้ยินกันบ่อยๆแน่ๆ (ได้ยินครั้งแรกมาจากเกมส์ Counter-Strike ที่มันแบ่งเป็นสองฝ่าย มีฝ่าย Terrorist แน่ๆฝ่ายนึง อีกฝ่ายในเกมส์มันเรียกอะไรหว่า ลืม!!!)
Interrogate การสอบปากคำ
Bipolar เป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง ที่อารมณ์จะขึ้นๆลงๆ
Bomb ระเบิด
Sniper หน่วยพลซุ่มยิง
Monday, December 12, 2011
An American family & The Next of Kin :)
เคยอ่านกระทู้มีคนถามว่า เราจะไม่มีทางรู้เลยใช่ไหมว่า Brother or sister ที่เค้าพูดถึง คือพี่หรือน้อง
คำตอบคือว่า ใช่...
เพราะภาษาอังกฤษ ไม่มีการบ่งบอกว่า นี่คือพี่หรือน้อง มีแค่บอกว่า พี่หรือน้องที่เป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง
ไม่เหมือนภาษาจีน ที่แยกได้ยิบย่อยขนาดว่า นั่นเป็นพี่คนโต คนรอง คนกลาง หรือ คนเล็ก ทุกคนจะมีลำดับบอก
แล้วภาษาจีนยังแยกได้ยิบย่อยขนาดว่านี่เป็นอาสะใภ้ น้าสะใภ้ แบบว่า เหมือนกะว่า ในทุกความสัมพันธ์มีตำแหน่งให้ แต่... มีอย่างหนึ่ง ที่ลำดับญาติในภาษาจีนแพ้ภาษาอังกฤษ
นั่นคือ พี่น้องต่างมารดา :)
เดาเอาว่า เพราะคนเมกัน หย่ากันบ่อยมั๊ง กลัวเวลาใครถาม เช่น
what is Marry relate to you?
She's my step sister.
She's my half sister.
เหมือนกะว่า เค้าแต่งแ้ล้วก็หย่า แล้วก็ไปสร้างครอบครัวใหม่ อะไรทำนองนั้น
ดังนั้น เวลาได้ยินคำตอบว่า step นำหน้า ให้รู้ไว้ว่า เค้าเป็นลูกติดมานั่นเอง
ถ้าได้ยินคำว่า half นำหน้า นั่นคือ เค้าเป็นลูกจากที่แม่หรือพ่อไปแต่งงานใหม่นั่นเอง
ตอนที่ได้ยินครั้งแรก ความรู้สึกคือ เค้าใช้คำศัพท์ที่make sense ดีจัง คำง่ายๆ แต่สื่อความหมายได้เข้าใจ
ถ้าเป็นภาษาไทย มันเยิ่นเย้อมาก แล้วมันก็ไม่มีศัพท์เฉพาะ ที่พูดคำเดียวแล้วจะเข้าใจ
ศัพท์วงศาคณาญาติที่ควรรู้
Step Mom or Step mother แม่เลี้ยง (ไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายนะ) ถ้าเปลี่ยนจาก Mom เป็น Dad ก็คือพ่อเลี้ยง
Step sister or Step brother ลูกติดแม่เลี้ยงหรือพ่อเลี้ยงมา ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่พ่อหรือแม่ของเค้ามาแต่งงานกะพ่อหรือแม่ของเรานั่นเอง
Half sister or Half brother น้องชาย หรือพี่ชาย ต่างพ่อ หรือ ต่างแม่ มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกะเราครึ่งนึง อาจจะมีพ่อ หรือมีแม่เดียวกัน
Next of kin แปลว่า วงศาคณญาติ ใครสักคนที่เกี่ยวข้องกะเรา
Relate แปลว่ามีความเกี่ยวข้องกะเรา อาจจะเป็นญาติ เค้าจะใช้คำว่า Relative
Sibling ตอนเจอคำนี้ครั้งแรกต้องถึงกะเปิดดิก คืออ่านแล้วดูบริบทแล้ว เดายากว่ามันแปลว่า "พี่น้อง"
Grand Pa , Grand Ma ปู่ย่า ตายาย
Great Grand Pa นั่นทวดเลย
คำว่าปู่หรือย่า บางทีเจอแบบรวบคำสั้นๆก็มี เรียก Gram เฉยๆ ตอนได้ยินครั้งแรกก็เออ แปลกดี
Cousin ลูกพี่ลูกน้อง เข้าใจง่ายๆ ก็ลูกของอา หรือลูกของลุง
Niece หลานสาว
Nephew หลานชาย
Spouse หมายถึงคู่สามี หรือภรรยา
คำตอบคือว่า ใช่...
เพราะภาษาอังกฤษ ไม่มีการบ่งบอกว่า นี่คือพี่หรือน้อง มีแค่บอกว่า พี่หรือน้องที่เป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง
ไม่เหมือนภาษาจีน ที่แยกได้ยิบย่อยขนาดว่า นั่นเป็นพี่คนโต คนรอง คนกลาง หรือ คนเล็ก ทุกคนจะมีลำดับบอก
แล้วภาษาจีนยังแยกได้ยิบย่อยขนาดว่านี่เป็นอาสะใภ้ น้าสะใภ้ แบบว่า เหมือนกะว่า ในทุกความสัมพันธ์มีตำแหน่งให้ แต่... มีอย่างหนึ่ง ที่ลำดับญาติในภาษาจีนแพ้ภาษาอังกฤษ
นั่นคือ พี่น้องต่างมารดา :)
เดาเอาว่า เพราะคนเมกัน หย่ากันบ่อยมั๊ง กลัวเวลาใครถาม เช่น
what is Marry relate to you?
She's my step sister.
She's my half sister.
เหมือนกะว่า เค้าแต่งแ้ล้วก็หย่า แล้วก็ไปสร้างครอบครัวใหม่ อะไรทำนองนั้น
ดังนั้น เวลาได้ยินคำตอบว่า step นำหน้า ให้รู้ไว้ว่า เค้าเป็นลูกติดมานั่นเอง
ถ้าได้ยินคำว่า half นำหน้า นั่นคือ เค้าเป็นลูกจากที่แม่หรือพ่อไปแต่งงานใหม่นั่นเอง
ตอนที่ได้ยินครั้งแรก ความรู้สึกคือ เค้าใช้คำศัพท์ที่make sense ดีจัง คำง่ายๆ แต่สื่อความหมายได้เข้าใจ
ถ้าเป็นภาษาไทย มันเยิ่นเย้อมาก แล้วมันก็ไม่มีศัพท์เฉพาะ ที่พูดคำเดียวแล้วจะเข้าใจ
ศัพท์วงศาคณาญาติที่ควรรู้
Step Mom or Step mother แม่เลี้ยง (ไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายนะ) ถ้าเปลี่ยนจาก Mom เป็น Dad ก็คือพ่อเลี้ยง
Step sister or Step brother ลูกติดแม่เลี้ยงหรือพ่อเลี้ยงมา ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่พ่อหรือแม่ของเค้ามาแต่งงานกะพ่อหรือแม่ของเรานั่นเอง
Half sister or Half brother น้องชาย หรือพี่ชาย ต่างพ่อ หรือ ต่างแม่ มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกะเราครึ่งนึง อาจจะมีพ่อ หรือมีแม่เดียวกัน
Next of kin แปลว่า วงศาคณญาติ ใครสักคนที่เกี่ยวข้องกะเรา
Relate แปลว่ามีความเกี่ยวข้องกะเรา อาจจะเป็นญาติ เค้าจะใช้คำว่า Relative
Sibling ตอนเจอคำนี้ครั้งแรกต้องถึงกะเปิดดิก คืออ่านแล้วดูบริบทแล้ว เดายากว่ามันแปลว่า "พี่น้อง"
Grand Pa , Grand Ma ปู่ย่า ตายาย
Great Grand Pa นั่นทวดเลย
คำว่าปู่หรือย่า บางทีเจอแบบรวบคำสั้นๆก็มี เรียก Gram เฉยๆ ตอนได้ยินครั้งแรกก็เออ แปลกดี
Cousin ลูกพี่ลูกน้อง เข้าใจง่ายๆ ก็ลูกของอา หรือลูกของลุง
Niece หลานสาว
Nephew หลานชาย
Spouse หมายถึงคู่สามี หรือภรรยา
Sunday, December 11, 2011
Blue Bloods
แต่ก็ไล่ดูจนมาทันที่กำลังฉายอยู่ :)
Blue Bloods เป็นเรื่องราวของครอบครัวตำรวจครอบครัวหนึ่ง ที่เหมือนเป็นประเพณีของบ้านนี้ที่ผู้ชายจะต้องเป็นตำรวจ
Francis Reagan เป็น Police Commissioner เป็นลูกชายของ Henry Reagan อดีต Police Commissioner ที่เกษีียณแล้ว
Frank มีลูกทั้งหมด 4 คน
Danny Reagan ลูกชายคนโต เป็นตำรวจ Danny มีภรรยาคือ Linda มีลูกชายสองคน (ยังเด็กอยู่)
Erin Reagan Boyle ลูกสาวคนเดียว เป็นอัยการ (D.A.) แอริน หย่าและมีลูกสาว 1 คน Nicky กำลังเป็นวัยรุ่นเลย
Joe Reagan ตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ (เป็นตำรวจ)
และคนสุดท้องคือ Jamie Reagan เจมี่ สอบเข้า Law School ของ Harvard U. ได้ แต่ก็ไม่ชอบ และขอมาเป็นตำรวจเหมือนผู้ชายทุกคนในบ้าน
เรื่องราวของซีรี่ย์ดำเนินไประหว่างการทำงานของแต่ละคน
Frank ที่เป็น Police Commissioner ก็ต้องดีลระหว่างการเมืองและตำรวจ เพราะตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งที่ Mr.Mayer จะต้องเป็นคนเลือก และตำแหน่ง Mr.Mayer ก็เป็นตำแหน่งที่ต้องได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเข้ามา
Frank เป็นผู้ชายที่ดีทุกอย่าง ทุกหน้าที่ของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายที่ีดี เป็นพ่อที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นคุณปู่ที่ดี คือดูแล้วรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้perfect มากอ่ะ
มีอยู่ตอนนึง แม่บ้านที่ออฟฟิตทำแก้วแตก แล้วแฟรงค์ก็เข้าไปถามไถ่ด้วยความห่วงใย ว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า แม่บ้านก็ตอนว่า ลูกชายคนเล็กโดนจับ แต่เค้าไม่ได้ทำผิดอะไร แฟรงค์ก็ตอบว่า นั่นมันอยู่นอกเหนือจากหน้าที่ของเค้า คือเค้าจะเข้าไปแทรกแซงการสืบสวนน่ะไม่ได้ ตัวแม่บ้านก็ดีนะ แม่บ้านก็บอกว่า Commissioner ดิฉันผิดไปแล้วที่พูดเรื่องนี้ (คือไม่ได้ต้องการให้ Commissioner เข้ามาแทรกแซงการสืบสวนด้วย)
แต่แฟรงค์ก็เข้าไปช่วยอยู่ดี โดยเรียก Detective ที่เป็นคนดูแลคดีนี้ให้ช่วยดูแลหน่อย ประมาณว่า อย่าให้เกิดความผิดพลาดในการจับคนร้ายขึ้นมาเลย ซึ่งตอนหลัง Detective ก็ตอบว่า ไปดูรายละเอียดเวลาที่เกิดเหตุตอนนั้นตัวลูกชายยังอยู่บนรถไฟ แปลว่าเค้ามี alibi ก็แปลว่าเค้าไม่ได้ทำ เรื่องก็จบลงด้วยดี
หรือหน้าที่คุณตา ตอนที่Nicky มีปากเสียงกะแม่ (Erin) แฟรงค์ก็เข้าไปพูดให้นิกกี้อย่าเข้าใจแม่ผิด
คือดูแล้วน่ารักอ่ะ
ขนาดจะไปงาน ยังนั่งขัดรองเท้าเองเลย :)
เกร็ดจากเรื่องนี้เล็กน้อย เรตติ้งดีมาก ดีสุดๆ ปลื้ม เพราะว่า คงจะได้ดูกันอีกนาน.. :)
ปิดท้ายด้วยศัพท์ภาษาอังกฤษจากเรื่องนี้
Police Commissioner เป็นตำแหน่งสูงสุดของ Police Department(สำนักงานตำรวจ)ภาษาไทย ก็น่าจะเทียบได้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ด้วยความที่อเมริกามีการปกครองแบบ สหรัฐ คือมีหลายๆรัฐแต่ละรัฐมีรัฐบาลเป็นของตัวเอง ก็เทียบได้กับว่า เป็นผู้บัญชาการตำรวจสูงสุดของรัฐนิวยอร์ก
Mr.Mayer เป็นตำแหน่งนายกเทศมนตรี มีวาระ เมื่อครบวาระต้องเลือกตั้งใหม่ เป็นหนึ่งในตำแหน่งทางการเมืองล่ะ (ถ้าพูดเรื่องนี้ล่ะก็ยาว..)
Detective ถ้าแปลตามตัวคือ นักสืบ ในที่นี้หมายถึงตำแหน่งของตำรวจที่ทำหน้าที่สืบสวน ที่เราจะเห็นได้จากในหนังกันบ่อยๆ เป็นตำรวจที่ไม่ต้องใส่เครื่องแบบ มีคู่หูที่ออกไปสืบสวนหาหลักฐานเพื่อนำฟ้องผู้ต้องสงสัยต่อไป
D.A. ย่อมาจาก District Attorney แปลเป็นไทยว่า อัยการ อัยการคือทนายของรัฐ ที่จะเป็นผู้รับเรื่องจาก Detective มาอีกที ว่ามีหลักฐานพอที่จะฟ้อง หรือไม่ฟ้องคนร้าย
Law School แปลตามตัวคือโรงเรียนกฎหมาย แต่ในความหมายของไทย ก็คือคณะนิติศาสตร์ ถ้าใครเข้า Law School ของ Harvard ได้ ก็ต้องบอกว่าการันตีอนาคตได้เลยว่ารวยแน่
เด็กเมกันทุกคนใฝ่ฝันจะเป็นทนาย เพราะประเทศนี้ มีอะไรนิดเดียวก็ฟ้องแหลก ดังนั้น ทนายเก่งๆ ก็จะถูกจับจองตัวไว้หมดล่ะ รายได้ก็สูงลิบลิ่ว
Alibi เป็นศัพท์ทางกฎหมาย ที่ไม่รู้ว่า คำไทยมันจะแปลว่าอะไร ยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ เช่น มีการปล้นกันเกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.00 น. แล้วพยานที่เห็นเหตุการณ์ก็บอกรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย ว่าหน้าตาเป็นยังไง Detective ก็มีหน้าที่ไปตามจับคนร้ายมา สมมติไปจับมาได้คนนึง แต่คนร้ายมี alibi ยืนยันได้ว่า เมื่อเวลา 20.00 น. เค้ากำลังนั่งอยู่บนรถไฟ มีกล้องวงจรปิดยืนยันได้ว่า เค้าขึ้นรถไฟจริง นี่แหละคำว่า alibi
Patrol คือตำรวจที่เป็นหน่วยลาดตระเวณ ในเรื่อง Jamie เป็น Patrol police ที่ต้องมีคู่หูขับรถตำรวจ คอยตรวจตราความเรียบร้อย เป็นจุดๆ แล้วแต่ว่า วันนั้นๆจะต้องไปประจำตรงจุดไหน หน่วยนี้ จะมีวิทยุที่คอยฟังจากส่วนกลาง ใครใกล้ตรงไหน ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น ก็ต้องไปให้จุดเกิดเหตุให้ไวที่สุด
เกริ่นนำ
ที่ตั้งใจเขียนบลอกนี้ขึ้นมาเพราะเกิดจากความคับแค้นใจในหลักสูตรภาษาอังกฤษ
เรียนภาษาอังกฤษครั้งแรกในชีวิต ตอนอยู่ประถม 5 ครูสอนภาษาอังกฤษคนแรกโหดมาก ชื่อครูวิชัย
แกเคยตีมือจนเขียว กลับบ้านมาฟ้องแม่ด้วย แต่แม่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะกลัวโดนครูรังแกลูกที่โรงเรียน
ครูแกโหดแบบ แกเคยเขียนโจทย์บนกระดานผิด เด็กทุกคนในห้องก็ลอกมาเหมือนกันหมด แล้วมันผิดทุกคน
แกเรียกไปตีทุกคน เด็กก็เถียงว่าครูนั่นแหละ เขียนบนกระดานแบบนี้ มันเลยผิดหมดทั้งห้อง แต่ก็โดนอยู่ดี
ที่เล่าเรื่องครูภาษาอังกฤษจอมโหดให้ฟัง เพื่อจะบอกว่า แม้จะมีครูสอนภาษาอังกฤษคนแรกในชีวิตแล้วก็โหดขนาดนี้ ก็ยังชอบภาษาอังกฤษอยู่ดี :) ความโหดของครูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย
เรียนได้เกรดไม่ 3 ก็ 4 มาตลอด มีพลาดไปบ้างตอนม.2 ช่วงเกเร ฮ่าๆ อันนั้นได้เกรด 2 อัปยศแก่ชีวิตมาก
พอมาม.ปลาย เรียนภาษาอังกฤษเทอมละ 2 ตัว ก็ได้ 4 หมดทุกเทอม ทุกตัว :)
เข้ามหาวิทยาลัย ตอนแรกก็กลัวๆ เราไปเจอเด็กกรุงเทพที่เค้าน่าจะเรียนภาษาอังกฤษมาเยอะกว่าเรา เราน่าจะสู้เค้าไม่ได้ แต่ผิดถนัด เด็กกทมได้เกรดน้อยกว่าอีก
แต่.. จุดพลิกผันมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่า แม้ว่าเกรดภาษาอังกฤษจะเริ่ดซะปานใด แต่... ฟังไม่ออก พูดไม่ได้ สนทนาไม่ได้
เคยไปดูหนังกะเพื่อน เดินออกมาจากโรง เพื่อนบอก พระเอกพูดสำเนียงออสซี่ ได้ยินแล้ว โอ้ว มาย ก้อด ทำไมมันเก่งขนาดนี้ ขนาดรู้ว่าสำเนียงอะไร
ความรู้สึกคือ เกรดที่ภูมิใจ แต่มันเอาไปใช้อะไรไม่ได้เลย
คิดมาตลอดชีวิต ว่าเราจะต้องฟังออก พูดได้ ให้จงได้
จุดพลิกผันที่สอง ก็คือมีคนแนะนำให้ดูซีรี่ย์เมกัน จากที่เคยดูแต่แถบๆเอเชียมาตลอด
อ๊ะเมกันก็เมกัน ดูแล้วติดหนึบ จนตอนนี้ ดูของชาติไหนก็ไม่สนุกเท่าของเมกันอีกแล้ว
ตอนดูแรกๆก็ซื้อแผ่น(ผี) มาดู หลังๆ เริ่มไม่ทันใจ อยากรู้ตอนต่อไป ทำไง
จำได้ว่าตอนนั้นติด Grey's anatomy มาก ดูถึงซีซันสองจบ ต้องรอแผ่นซีซันสามอีกหลายเดือน (ที่มันจะมาพร้อมกับซับไทย)
ทำไงล่ะไม่อยากจะรอ ก็นั่งอ่านสปอยล์ในเว็บ ABC ที่มันจะลงสปอยล์ตอนที่ฉายๆไปแล้วอย่างละเอียดทุกตอน
อ่านแล้วก็ อ๊ากส์ อยากดูอ๊ะ จุดเริ่มต้นคือเริ่มโหลด เริ่มดูเป็นซับอังกฤษ (จากที่เคยดูแต่ซับไทย)
จำได้ว่า ซีรี่ย์หมอกะซับอังกฤษ ยากมากกกกกกกกกกกกกกกก
จากวันนั้นก็เลิกซื้อแผ่นซีรี่ย์อีกเลย โหลดมาดู พร้อมกับซับอังกฤษมาตลอด
วิธีการดูก็คือ มีโปรแกรมดิกชั่นนารีในเครื่อง โปรแกรม Lexitron ช่วยได้มาก
เพราะมันจะมีฟังก์ชั่นคือ เราจำแค่ตัวอักษรขึ้นต้น แค่ 2-3 ตัว ก็พอจะเดาๆได้ ว่าศัพท์ที่เราต้องการหาคือศัพท์คำว่าอะไร
แต่เป็นประเภทไม่ดูไปเปิดดิกไปนะ มันน่ารำคาญ
จะดูมันจบทั้งตอน แล้วค่อยมาไล่เปิดดิก ที่แค่อาศัยจำตัวอักษรแค่สองสามตัวนั่นแหละ
ทำแบบนี้มาตลอด ศัพท์บางคำก็แทบไม่ต้องเปิด เพราะเจอบ่อยจนเดาได้ว่ามันแปลว่าอะไร
พอดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มคิดว่า เราน่าจะอ่านหนังสือที่มันเป็นภาษาอังกฤษได้นะ
ทำไมพวกบทสัมภาษณ์ดาราซีรี่ย์ที่ชอบๆ ยังอ่านได้เป็นหน้าๆเลยอ่ะ ก็เลยลองอ่านดู
เล่มแรกๆ โหลดแบบฟรีๆ แนววิชาการ ไปไม่รอด ฮ่าๆ
พอเริ่มใหม่ อ่านเป็นพวกนิยาย โอย ติดหนึบ
หลังจากที่อ่านแต่เวอร์ชั่นแปลมาตลอด พอได้มาอ่านเป็นภาษาอังกฤษต้นฉบับ ต้องบอกว่า อ่านเป็นภาษาอังกฤษมันสนุกขึ้นเป็นกองเลย
เพราะเราจะไม่เจอคำที่นักเขียนเค้าแปล มาปิดกั้นจินตนาการของเรา
คือเวลาเค้าเลือกใช้คำแปลใส่ลงมา บางที เราอ่านภาษาอังกฤษ รู้สึกว่า นางเอกมันไม่ได้เวอร์ขนาดคำไทยที่นักเขียนเค้าใส่ลงมาอ่ะ
เรารู้สึกว่านางเอกมันแค่ต๊อง มันไม่ได้เครซี่
หลังจากนั้นก็ไม่คิดจะอ่านเป็นฉบับแปลอีกเลย
คิดมาตั้งนาน ทำไมบางเล่มมันไม่เห็นหนุก เพราะเราไปอ่านที่เค้าแปลนี่เอง
เรียนภาษาอังกฤษครั้งแรกในชีวิต ตอนอยู่ประถม 5 ครูสอนภาษาอังกฤษคนแรกโหดมาก ชื่อครูวิชัย
แกเคยตีมือจนเขียว กลับบ้านมาฟ้องแม่ด้วย แต่แม่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะกลัวโดนครูรังแกลูกที่โรงเรียน
ครูแกโหดแบบ แกเคยเขียนโจทย์บนกระดานผิด เด็กทุกคนในห้องก็ลอกมาเหมือนกันหมด แล้วมันผิดทุกคน
แกเรียกไปตีทุกคน เด็กก็เถียงว่าครูนั่นแหละ เขียนบนกระดานแบบนี้ มันเลยผิดหมดทั้งห้อง แต่ก็โดนอยู่ดี
ที่เล่าเรื่องครูภาษาอังกฤษจอมโหดให้ฟัง เพื่อจะบอกว่า แม้จะมีครูสอนภาษาอังกฤษคนแรกในชีวิตแล้วก็โหดขนาดนี้ ก็ยังชอบภาษาอังกฤษอยู่ดี :) ความโหดของครูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย
เรียนได้เกรดไม่ 3 ก็ 4 มาตลอด มีพลาดไปบ้างตอนม.2 ช่วงเกเร ฮ่าๆ อันนั้นได้เกรด 2 อัปยศแก่ชีวิตมาก
พอมาม.ปลาย เรียนภาษาอังกฤษเทอมละ 2 ตัว ก็ได้ 4 หมดทุกเทอม ทุกตัว :)
เข้ามหาวิทยาลัย ตอนแรกก็กลัวๆ เราไปเจอเด็กกรุงเทพที่เค้าน่าจะเรียนภาษาอังกฤษมาเยอะกว่าเรา เราน่าจะสู้เค้าไม่ได้ แต่ผิดถนัด เด็กกทมได้เกรดน้อยกว่าอีก
แต่.. จุดพลิกผันมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่า แม้ว่าเกรดภาษาอังกฤษจะเริ่ดซะปานใด แต่... ฟังไม่ออก พูดไม่ได้ สนทนาไม่ได้
เคยไปดูหนังกะเพื่อน เดินออกมาจากโรง เพื่อนบอก พระเอกพูดสำเนียงออสซี่ ได้ยินแล้ว โอ้ว มาย ก้อด ทำไมมันเก่งขนาดนี้ ขนาดรู้ว่าสำเนียงอะไร
ความรู้สึกคือ เกรดที่ภูมิใจ แต่มันเอาไปใช้อะไรไม่ได้เลย
คิดมาตลอดชีวิต ว่าเราจะต้องฟังออก พูดได้ ให้จงได้
จุดพลิกผันที่สอง ก็คือมีคนแนะนำให้ดูซีรี่ย์เมกัน จากที่เคยดูแต่แถบๆเอเชียมาตลอด
อ๊ะเมกันก็เมกัน ดูแล้วติดหนึบ จนตอนนี้ ดูของชาติไหนก็ไม่สนุกเท่าของเมกันอีกแล้ว
ตอนดูแรกๆก็ซื้อแผ่น(ผี) มาดู หลังๆ เริ่มไม่ทันใจ อยากรู้ตอนต่อไป ทำไง
จำได้ว่าตอนนั้นติด Grey's anatomy มาก ดูถึงซีซันสองจบ ต้องรอแผ่นซีซันสามอีกหลายเดือน (ที่มันจะมาพร้อมกับซับไทย)
ทำไงล่ะไม่อยากจะรอ ก็นั่งอ่านสปอยล์ในเว็บ ABC ที่มันจะลงสปอยล์ตอนที่ฉายๆไปแล้วอย่างละเอียดทุกตอน
อ่านแล้วก็ อ๊ากส์ อยากดูอ๊ะ จุดเริ่มต้นคือเริ่มโหลด เริ่มดูเป็นซับอังกฤษ (จากที่เคยดูแต่ซับไทย)
จำได้ว่า ซีรี่ย์หมอกะซับอังกฤษ ยากมากกกกกกกกกกกกกกกก
จากวันนั้นก็เลิกซื้อแผ่นซีรี่ย์อีกเลย โหลดมาดู พร้อมกับซับอังกฤษมาตลอด
วิธีการดูก็คือ มีโปรแกรมดิกชั่นนารีในเครื่อง โปรแกรม Lexitron ช่วยได้มาก
เพราะมันจะมีฟังก์ชั่นคือ เราจำแค่ตัวอักษรขึ้นต้น แค่ 2-3 ตัว ก็พอจะเดาๆได้ ว่าศัพท์ที่เราต้องการหาคือศัพท์คำว่าอะไร
แต่เป็นประเภทไม่ดูไปเปิดดิกไปนะ มันน่ารำคาญ
จะดูมันจบทั้งตอน แล้วค่อยมาไล่เปิดดิก ที่แค่อาศัยจำตัวอักษรแค่สองสามตัวนั่นแหละ
ทำแบบนี้มาตลอด ศัพท์บางคำก็แทบไม่ต้องเปิด เพราะเจอบ่อยจนเดาได้ว่ามันแปลว่าอะไร
พอดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มคิดว่า เราน่าจะอ่านหนังสือที่มันเป็นภาษาอังกฤษได้นะ
ทำไมพวกบทสัมภาษณ์ดาราซีรี่ย์ที่ชอบๆ ยังอ่านได้เป็นหน้าๆเลยอ่ะ ก็เลยลองอ่านดู
เล่มแรกๆ โหลดแบบฟรีๆ แนววิชาการ ไปไม่รอด ฮ่าๆ
พอเริ่มใหม่ อ่านเป็นพวกนิยาย โอย ติดหนึบ
หลังจากที่อ่านแต่เวอร์ชั่นแปลมาตลอด พอได้มาอ่านเป็นภาษาอังกฤษต้นฉบับ ต้องบอกว่า อ่านเป็นภาษาอังกฤษมันสนุกขึ้นเป็นกองเลย
เพราะเราจะไม่เจอคำที่นักเขียนเค้าแปล มาปิดกั้นจินตนาการของเรา
คือเวลาเค้าเลือกใช้คำแปลใส่ลงมา บางที เราอ่านภาษาอังกฤษ รู้สึกว่า นางเอกมันไม่ได้เวอร์ขนาดคำไทยที่นักเขียนเค้าใส่ลงมาอ่ะ
เรารู้สึกว่านางเอกมันแค่ต๊อง มันไม่ได้เครซี่
หลังจากนั้นก็ไม่คิดจะอ่านเป็นฉบับแปลอีกเลย
คิดมาตั้งนาน ทำไมบางเล่มมันไม่เห็นหนุก เพราะเราไปอ่านที่เค้าแปลนี่เอง
Subscribe to:
Posts (Atom)