Tuesday, November 20, 2012

Friday Night Lights : Clear eyes,Full hearts,Can't lose.

ซีรี่ย์จบ...คนไม่จบ


ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ขอบคุณซีรี่ย์เรื่อง Nashville ที่ทำให้ดิชั้นไม่พลาดซีรี่ย์น้ำดีไปเรื่องนึง

คือดู Nashville แ้ล้วชอบ Rayna James ก็เลยดูว่า Connie Britton เคยเล่นเรื่องไรมามั่งเนี่ย รอวีคละตอนไม่ไหวแล้ว

พอไล่ๆดู มี Friday Night Lights หนึ่งในซีรี่ย์ที่คิดว่าจะดูเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดูสักที เพราะติดตรงที่มันคือเมกันฟุตบอล คือไม่ชอบกีฬาชนิดเลย เลยไม่ค่อยอยากจะดูเรื่องนี้สักเท่าไหร่

Friday Night Lights เป็นเรื่องเกี่ยวกับโค้ชอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนมัธยม Eric Taylor ได้ย้ายมาเป็นโค้ชให้โรงเรียนมัธยมใน Texas โค้ชก็มีภรรยา(Tami Taylor)และลูกสาว 1 คน (Julie Taylor)

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไป เมนหลักของเรื่องอยู่ที่ทีมฟุตบอล นักกีฬาในทีม ปัญหาของวัยรุ่น ปัญหาของครอบครัว ปัญหาของคอมมูนิตี้

ชอบความลงตัวของทุกเรื่องราวที่ดำเนินไป ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ และกีฬาฟุตบอล ที่ตรึงผู้คนในชุมชนนี้ไว้

Best Couple ยกให้ Eric-Tami Taylor เป็น Best Couple ตั้งแต่ดูซีรี่ย์มาเลย
สาบานได้ว่า ตั้งแต่ดูมา ไม่เคยลุ้นให้ใครคบกันนอกจอเลย ถ้าไม่ติดที่ Kyle มีภรรยาและลูกอยู่แล้ว เชียร์คู่นี้จริงๆนะ
คือดูตั้งแต่ตอนแรก เค้าแสดงให้เรารู้สึกได้ว่า คู่นี้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ และอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปีแล้วจริง
มันคือความลงตัว ความลื่นไหลของการแสดง ที่ำทำให้รู้สึกว่า เรากำลังดูชีวิตครอบครัวของโค้ชเทย์เลอร์อยู่จริงๆ ไม่ได้กำลังดูใครแสดงบทบาทให้ดูอยู่ สุดยอดมาก
(แอบแปลกใจ ตอนที่ดูสัมภาษณ์นักแสดงของเรื่องนี้ ที่ถามว่า คู่นี้ Kyle กับ Connie เคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า เพราะเล่นได้เนียนมาก เค้าบอกว่า เจอกันครั้งแรกก็ในกองถ่าย/เทพจริงไรจริง)

สำเนียง คือเรื่องนี้จะมีนักกีฬาเป็นผิวสีเยอะ ตอนเริ่มดูซีรี่ย์แรกๆ จะมีปัญหากับสำเนียงของคนผิวสีมาก เพราะฟังยาก พอเราเริ่มชินกะสำเนียงผิวสีแอลเอ เราก็มาเจอ ผิวสีเท็กซัส อืมม์ไม่ต้องฟังกันเลย เดากันอย่างเดียวงานนี้ เพราะฟังยากมากถึงยากที่สุด

ปัญหาเรื่องเหยียดผิว ในเรื่องจะพูดถึงคนผิวสีที่เป็นส่วนนึงของชุมชน จริงๆปัญหานี้ไม่ไ้ด้หนักมาก แต่ก็ปฏิเสธมันไม่ได้ว่ามันไม่มี ชอบครอบครัวของ Smash มาก Smash เป็นนักกีฬาผิวสีในทีม ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ทุนการศึกษา ฝันของนักกีฬาโรงเรียน ก็เล่นเพื่อจะได้ทุนการศึกษาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยนี่แหละ ตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมเรียนฟรี แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยค่าเทอมโหดมาก
ชอบการเลี้ยงดูของแม่Smash นี่แหละ มีอยู่ตอนนึง เป็นตอนที่ Smash กับแม่ไปขอกู้เงินซื้อบ้าน แล้วเจ้าหน้าที่ไม่อนุมัติบอกให้ติดต่อมาใหม่ แล้ว Smash ก็ระเบิดอารมณ์ แม่ก็สอนลูกตรงนั้นเลย ว่าเป็นคนดำ คนอื่นก็มองเราแย่อยู่แล้ว อย่าแสดงกิริยาอาการให้คนอื่นรู้สึกแย่กับเราเข้าไปอีก ดูแล้วประทับใจจริงๆ
และประทับใจกับการอบรมเลี้ยงดูลูกของคนผิวสีด้วย ถ้าดูซีรี่ย์เมกัน มันจะเห็นความแตกต่างระหว่างครอบครัวคนผิวขาวและผิวสีในการเลี้ยงดูลูก คนผิวสีจะค่อนข้างเหมือนคนไทย แม่จะดุลูก และลูกจะฟัง แต่กับคนขาว บอกตามตรง ว่าไม่ไหวจริงๆ แต่นั่นเค้าอาจจะคิดว่ามันเวิีร์คสำหรับสังคมเค้าก็ได้

ความทุ่มเทในหน้าที่ Tami ทำงานเป็นคล้ายๆครูแนะแนวของไทยนี่แหละ คอยให้คำปรึกษานักเรียนแต่ละคน เรื่องขาดเรียน เรื่องสอบตก เรื่องเรียนต่อ เราชอบความทุ่มเทและความเข้าใจปัญหาวัยรุ่นของ Tami มากๆ ถ้ามีครูแนะแนวอย่างนี้จริงๆ ปัญหาวัยรุ่นคงน้อยกว่านี้มาก
ยิ่งในซีซันห้า ซีซันสุดท้าย ที่ Tami เอาปัญหาที่เจอในการแนะแนวให้นักเรียนในโรงเรียน ไปพูดในงานสัมมนา และก็บอกว่า การที่จะเอาแต่คะแนนมาเป็นเกณฑ์ในการคัดเด็กเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มันไม่ถูกต้อง ควรนำสิ่งอื่นๆมาประกอบด้วย แล้วผู้เข้าร่วมสัมมนาก็บอกว่าเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเด็กคนไหนเหมาะสมจะได้รับคัดเลือก ถ้าเราไม่ดูคะแนนเป็นหลัก Tami ตอบว่า เค้าคุยกับเด็กทุกคนในโรงเรียน คนอื่นก็อึ้ง คงไม่คิดว่าจะมีครูแนะแนวที่ทุ่มเทขนาดนี้

กีฬากับการเปลี่ยนชีิวิต ในซีซันสี่ มีตัวละครใหม่เข้ามา เนื่องจากโค้ชต้องมาทำทีมใหม่ เพราะเมืองDillon โดนแบ่งออกเป็นสอง โค้ชก็โดนกระเด็นออกจากโรงเรียนเดิมต้องมาเริ่มสร้างทีมใหม่ แล้วก็มีนักเรียนอยู่คนนึง ชื่อว่า Vince เป็นนักเรียนเจ้าปัญหา เพราะโดนทัณฑ์บนไปหลายรอบแล้ว ถ้าโดนอีกรอบคือต้องเข้าคุก ตำรวจก็ให้โอกาสเนื่องจากหมอนี้ีวิ่งไวมาก (คงฝึกมาวิ่งหนีตำรวจ) เลยจับไปให้โค้ช แล้วบอกว่า เอามันไปฝึกเป็นนักกีฬาฟุตบอลซะ ถ้าไม่ยอมเล่นฟุตบอล ก็จะจับเข้าคุกล่ะ Vince ยอม Vince มาจากครอบครัวที่พ่อติดคุก แม่ติดยา ไม่มีอาชีพที่แน่นอน ตัวเองต้องดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อดูแลแม่ เลยต้องลักเล็กขโมยน้อย จนโดนจับบ่อยๆ ตอนหลังเพราะโค้ช ทำให้ตัวเองได้มาเล่นฟุตบอล แล้วพัฒนาฝีมือ จนพาทีมคว้าแชมป์ของรัฐได้สำเร็จ
ประทับตอนสุดท้ายที่ Vince ไปพูดกับโค้ชว่า you change my life. ฟังแล้วมันตื้นตัน
กับคนที่แทบจะไม่มีโอกาสในชีวิต สุดท้ายเค้าได้รับโอกาสนั้น จากกีฬาฟุตบอล

วรรคทอง เรื่องนี้มีคำพูดวรรคทองเยอะมาก ที่ประทับใจคือ Texas Forever เป็นคำพูดที่สั้นๆแต่มันบ่งบอกความหมายทั้งหมดแฝงไว้ในนั้น

Clear eyes,Full hearts,Can't lose. พูดถึง FNL ไม่พูดประโยคนี้ไม่ได้

อ้อแล้วก็ชอบคำพูดปลุกใจของโค้ชมาก มันมีความสำคัญจริงนะ คำพูดปลุกใจ ไม่ต้องพูดพล่าม ไม่ต้องพูดยาว พูดสั้นๆ แต่ปลุกใจลูกทีมได้ โค้ชเทย์เลอร์สุดยอด

ตอนประทับใจ ชอบตอนที่ Tami พูดเีกี่ยวกับ Eric ในตอนท้ายของซีซันหนึ่ง ที่พูดว่า เค้าอยู่กับฟุตบอลตลอดเวลา วันหยุดทำไร นั่งดูเทปแข่งฟุตบอล คือตลอดเวลาอยู่กับฟุตบอล ถ้าคนเป็นภรรยาไม่เข้าใจจริงๆ มีหวังเลิกกันได้ง่ายๆนะเนี่ย แล้วการที่อุทิศ เพราะต้องย้ายตลอดเวลา พอได้งานที่ใหม่ ก็ต้องย้าย ทั้งลูกทั้งเมียก็ต้องยอมเสียสละ ลูกก็ต้องเปลี่ยนสังคมใหม่ ในเรื่องก็บอกว่า ย้ายกันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ คือเสียสละกันหมด เพื่อความฝันของพ่อในการเป็นโค้ชฟุตบอลเนี่ย
ในเมื่อทั้งลูกทั้งภรรยาเสียสละให้แล้ว ต้องบอกว่า Eric ก็มีความดีมากๆ ตรงที่เป็นคนรักครอบครัวสุดๆ ตอนเพื่อนมาปรึกษาเรื่องมีชู้ Eric ยังด่าเข้าให้ สุดยอดจริง
ตอนท้ายของซีซันสอง มีตอนนึงชื่อว่า Best Man Win ที่เป็นแฟนเก่าของ Tami โผล่มานั่นแหละ โคตรชอบเลย น่ารักดี

สิ่งที่น่าเบื่อ แบบรักไม่ได้เกลียดไม่ลงคือ เจ้า Tim Riggins เบื่อที่ต้องเก็กหน้าตลอดเวลา เหมือนต้องทำหน้าหล่อตลอดเวลา เดี๊ยนรำคาญอ๊ะ แล้วนิสัยก็เข้าใจยาก แต่ยอมรับว่าเป็นคนดีจริง แต่ขอได้มั๊ย ไม่ต้องเก็กหล่อขนาดนั้น -*-

แมทธิว เวลาพูด อ้าปากนิดนึงไม่มีใครว่าหรอก คือเค้าพูดแบบมันจะพรวดๆๆๆๆๆๆ ไม่ค่อยขยับปาก เลยทำให้ฟังยาก แต่ก็พอจะดำน้ำฟังรู้เรื่องอยู่ ยอมรับอย่างหนึ่งว่าแมทธิวต้องคู่กับจูลี่จริงๆ คู่กะใครไม่ได้ล่ะ คู่นี้เหมาะสมกันดี คนที่เล่นเป็นย่าก็เล่นดี ตอนซีซันแรกที่แมทธิวต้องปลอมเสียงเป็นปู่ เพื่อปลอบใจย่าน่ะ เกือบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวน่ะ ซึ้ง T^T

ไทร่า ชอบตรงที่พยายามเปลี่ยนตัวเอง ถีบตัวเอง เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ภายใต้ครอบครัวแบบนั้น ก็ยอมรับนะ ว่าถ้าจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองได้ เอาชนะแรงต้านทานได้ มันยากนะ แต่ไทร่าทำได้ ด้วยคำแนะนำของ Tami ชื่นชมTami ตรงจุดนี้จริงๆ

เจสันกะไลล่า ไม่ค่อยชอบทั้งคู่ แต่สงสารเจสันนะ สงสารคนเล่นด้วย อุตส่าห์ได้เล่นเป็น QB ตัวสำคัญ แต่ดั๊นประสบอุบัติเหตุตั้งแต่ตอนแรกของเรื่อง กรรมจริง ส่วนไลล่า เอาเหอะ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

ชีวิตวัยรุ่นเมกัน ดูตอนที่ขับรถไปแมกซิโก เห็นแล้ว ขนาดดิชั้นอายุขนาดนี้ ให้ไปทำอย่างนั้นทำไม่ได้แน่ๆ ทำไมเค้ากล้ากันจัง โตกันเร็วเนอะ

สรุปๆ Friday Night Lights เป็นซีรี่ย์น้ำดีอีกเรื่อง ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ

ป.ล. รู้สึกว่า ให้กลับไปดู Nashville คงไม่อินกะ Rayna James แล้ว ฮ่าๆ ตอนนี้ชอบ Tami Taylor มาก และแทบจะพูดว่า Y'all ตลอดเวลา ก๊ากๆ
เข้าใจ Hayden แล้ว ที่บอกว่าตอนเล่น Nashville เวลามีฉากปะทะคารมกะ Connie พอผู้กำกับสั่งคัท ตัวเองต้องขอโทษทุกครั้ง เพราะเค้าบอกว่า เค้าเป็นแฟนซีรี่ย์ Friday Night Lights

มาเติมความรู้ท้ายบทความกันหน่อย 

Y'all เป็นสำเนียงของทางใต้ มันมาจาก You all แต่เค้าพูดย่อๆเป็น Y'all ซึ่งสำเนียงเมกันเนี่ย หลักๆคือทั่วๆไปที่เราจะได้ยินจากหนัง จากภาพยนตร์ มันจะมีสำเนียงใต้ ที่จะโดดเด่นอีกสำเนียงนึง
ซึ่ง ต้องคนที่ฟังภาษาอังกฤษได้ระดับหนึ่ง จะเริ่มแยกสำเนียงออก สำเนียงใต้ มันจะน่ารักๆ พูดยานๆหน่อย น่ารักดี เวลาดูซีรี่ย์ที่พูดสำเนียงใต้จะรู้สึกถึงความเหน่อ เหมือนเวลาเราดูละครไทยพูดสำเนียงสุพรรณฯก็ไม่ปาน
ถ้าอยากดูซีรี่ย์ที่พูดสำเนียงใต้อีกเรื่อง แนะนำเรื่อง Hart of Dixie เรื่องนี้พูดใต้กันทั้งเรื่องเลย น่ารักแบบบ้านนอกๆเมกันดีค่ะ

American's Football คนเมกัน เค้าจะเรียกกีฬาคนชนคนว่า อเมริกันฟุตบอล เค้าเรียกของเค้าว่าฟุตบอล มันไม่เหมือนฟุตบอลแบบที่คนไทยคลั่ง ถ้าฟุตบอลแบบนี้ อย่าเผลอไปเรียกให้เมกันชนฟังล่ะ เค้าจะเข้าใจว่าเป็นคนชนคน แบบที่ใส่หมวกกันน๊อค มีที่กันกระแทกในเสื้อตัวใหญ่ๆนั่นอ่ะ แบบพวกวิ่งถือลูก วิ่งแล้วโดนทับล้มแล้วหยุดๆ อันนี้เมกันเค้าเรียกว่าฟุตบอล
แต่ไอ้ฟุตบอลแบบที่คนไทยฮิต แบบ 11 คน วิ่งแย่ง เขี่ยลูกบอลลูกเดียว ห้ามเอามือโดนลูก เดี๋ยวจะเป็น hand of god ไปซะฉิบ แบบนี้เมกันเค้าจะเรียกว่า Soccer 
ดังนั้น เวลาคุยกะคนเมกัน ถ้าเค้าพูดว่าฟุตบอล ให้นึกถึงศึกคนชนคน แบบใส่หมวกกันน๊อค แล้วถ้าเราอยากจะคุยเรื่องกีฬา่ฟุตบอลแบบคนไทยฮิต ให้เรียกว่า Soccer จะได้เข้าใจกันถูกต้อง

Soccer ที่เมกา มันจะฮิตในหมู่ผู้หญิง กลายเป็นกีฬาที่ผู้หญิงเล่น

แล้วจากในเรื่อง เราจะสังเกตว่า Texas น่าจะมีพวกลาตินอยู่เยอะ เพราะติดชายแดนแมกซิโกเลย แต่เรากลับไม่ค่อยเห็นลาติโน่เล่นฟุตบอล มีโผล่มาในซีซันสองคนเดียว
เราเดาเอาเองว่า พวกลาติโน่ น่าจะชอบsoccer มากกว่า 

Friday, August 24, 2012

The Newsroom แนะนำซีรี่ย์อย่างเป็นทางการ

The Newsroom น่าจะเป็นซีรี่ย์ของปีนี้ที่ถูกจับตามองมากที่สุด เพราะชื่อของ Aaron Sorkin แท้ๆ

เพราะเรื่องนี้คือผลงานล่าสุดของ Sorkin

Sorkin เคยฝากผลงานไว้เป็นที่จดจำคือ The West Wing คอซีรี่ย์ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่น่าจะพลาด (ถ้าชอบแนวนี้)
หรือ The Social Network ผลงานหนังที่กวาดรางวัล (อ่านมาผ่านๆว่าได้รางวัลจากเรื่องนี้ แต่เนื่องจากเราไม่ได้ดูหนัง เรื่องนี้เลยยังไม่ได้ดู)

เรื่องย่อ The Newsroom หรือ ห้องข่าว (ชื่อตรงๆเลย ฮ่าๆ)

เป็นเบื้องหลังของรายการข่าวภาคกลางคืนของช่องข่าวเคเบิ้ลที่ชื่อว่า ACN
มีผู้ประกาศข่าวชื่อดังคือ Will McAvoy (นำแสดงโดย Jeff Daniels) ซึ่งมีเรตติ้งเป็นอันดับสอง
การนำเสนอข่าวของเรื่องนี้ นำเอาเหตุการณ์จริงมาเสนอ ในมุมมองของคนทำข่าวเบื้องหลัง

ตอนแรกเป็นการนำเสนอเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP oil ระเบิดนอกชายฝั่ง (ปี 2010)

และยังมีข่าวอื่นๆที่เด่นๆ เช่น การจับตายโอซาม่า บินลาเดน , การชนะการเลือกตั้งกลางเทอมของรีพลับบลิกัน , การเสียดสี Tea Party , หรือข่าวส.ส.หญิง โดนยิง , การประท้วงในอียิปต์ และอีกหลายๆข่าว

พร้อมกับการเมืองภายในของช่องเอง เรื่องที่ผู้บริหารสถานีไม่พอใจการนำเสนอข่าว Tea Party และหาเรื่องจะไล่ Will ออก

นอกจากเรื่องข่าวแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ของทีมงานก็น่าสนใจ

ซีรี่ย์เรื่องนี้ลงตัวทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

ฉายทางช่อง HBO ในช่วงซัมเมอร์(สำหรับเมืองไทย ทรูฉายนะคะ แต่ไม่รู้ว่ามีซับไทยรึเปล่า)
ซีซัน 1 มีทั้งหมด 10 ตอน วันจันทร์ที่จะถึงนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้ว
ซีซัน 2 ได้รับการ renew อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ได้ฉายตอนแรก

น่าจะเป็นเพราะการเปิดตัวได้อย่างอื้อหือ ด้วยคลิปนี้


ดูผลงานของ Sorkin ต้องทำใจไว้อย่างว่า มันมีลูกเล่นของภาษา ความคมคายของบทสนทนาระหว่างตัวละคร เป็นซีรี่ย์ที่ต้องใช้ความพยายามในการดูอย่างสูง คือ 1 แม้จะมีซับอังกฤษดูแล้ว รอบแรก ต้องดูเพื่อทำความเข้าใจว่ามันแปลเป็นไทยว่าอะไร 2 ดูเพื่อทำความเข้าใจว่า เค้าต้องการสื่ออะไร
3 เรื่องเหตุการณ์ข่าวในซีรี่ย์ แม้จะมีข่าวประเทศอื่นๆแทรกบ้าง แต่หลักๆ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอเมริกา ถ้าไม่ได้ดูข่าว อาจจะงง ใครเป็นใคร โดยเฉพาะในแวดวงการเมืองของเค้า กฎหมายของบ้านเค้า ที่เราอาจจะไม่เข้าใจ

ดังนั้น จะดูให้สนุก ถ้ามองข้ามความเข้าใจพวกนี้ไปได้ ดูเอาความคมคายการสนทนาของตัวละคร ก็ยังพอสนุกกล้อมแกล้มไปได้อยู่ (เราเป็นพวกหลัง คือข่าวก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่ชอบเรื่องของตัวละครมากกว่า การต่อปากต่อคำกัน มันสนุกดี)

แนะนำตัวละครที่น่าสนใจ
Will McAvoy (Jeff Daniels) ผู้ประกาศข่าวทีวี เรตติ้งอันดับสอง Will เป็นคนเก่ง ข้อมูลด้านข่าวในหัวเยอะมาก ด้วยประสบการณ์ของการเป็นผู้ประกาศข่าว แน่นอนว่าสุดยอด แต่เรื่องส่วนตัว เปิดตัวด้วยความเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจ ชื่อทีมงานยังจำไม่ได้ หลังจากที่ระเบิดอารมณ์ในคลิปข้างบน Will น่าจะมีอะไรที่คิดได้ ประกอบกับ การได้ EP คนใหม่มาร่วมงาน

McKenzie McHale (Emily Mortimer) Execusive Producer มือรางวัล แต่หายหน้าหายตาไปทำข่าวอยู่อิรัก อัฟกานิสถาน อยู่สามปี แต่ต้องการกลับมาอยู่ห้องข่าว Charlies เจ้านายของ Will เลยเรียกตัวมาทำงาน
McKenzie เป็นอดีตคนรักเก่าของ Will แต่มีเหตุให้ต้องเลิกรากันไป แต่ไม่ได้เลิกกันด้วยดี ก็เลยอาจจะดูแปลกๆเมื่อกลับมาร่วมงานกันใหม่ :)

Sloan Sabbith (Olivia Munn)  ผู้ประกาศข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงดร. ประกาศข่าวอยู่ช่วงสาย ก็โดน MacKenzie เรียกมาช่วยอ่านข่าวเศรษฐกิจในช่วงสองทุ่ม

Jim Harper (John Gallagher) Senior Producer Jim ติดตาม McKenzie ไปทำข่าวภาคสนามที่อิรัก โดนดึงมาทำงานนี้ด้วย

Neal Sampat (Dev Patel) คนเขียนบลอกให้ Will :) เป็นอีกตัวละครนึงที่น่าสนใจ เพราะมีเรื่องแปลกๆมานำเสนออยู่ตลอดเวลา อย่าง The BigFoot เป็นต้น -*-

Margaret Jordan (Alison Pill) หรือ Maggie ผู้ช่วยของ Will และคบอยู่กะ Don (EP คนเก่าของ Will ซึ่งได้ย้ายไปทำข่าวช่วงสี่ทุ่มแทน)

Don Keefer  (Thomas Sadoski) อดีตEP ของ Will และเคยร่วมงานกะ MacKenzie มาก่อน ตอนนี้ย้ายไปเป็น EP ของข่าวสี่ทุ่มแทน คบอยู่กะ Maggie

ทิ้งท้ายเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่อ่านมาจากหลายๆที่
นักแสดงส่วนใหญ่ในเรื่องนี้มาจากบรอดเวย์ อ่าน Q&A ของ Jeff บอกว่า นักแสดงบรอดเวย์จะแม่นเรื่องบทมาก
คำถามเรื่องการท่องบท (เอาแค่เราเป็นคนดู ยังรู้สึกว่า บทมันยาวมาก ท่องกันยังไง) Jeff บอกว่าพอได้บทมา ใช้เวลา 7 วันแรก ต้องท่องบทให้ได้ ส่วน 7 วันหลัง คือวันที่ถ่ายทำ
เวลาไปกองถ่าย จะเหมือนทุกคนเป็นบ้า เพราะยืนพูดคนเดียว (กำลังท่องบทอยู่)

ถ้าชอบจริงๆ แนะนำว่าให้ดูคลิปที่ชื่อว่า The Newsroom inside the episode จะเป็นคอมเม้นท์ของ Sorkin ที่พูดถึงแต่ละตอนว่าเป็นยังไง

คำวิจารณ์จากเมืองนอก ในความเห็นเราที่อ่านบทวิจารณ์ทุกตอน จะรู้ึสึกขัดใจ คือส่วนมากเค้าจะบอกว่า มันเกินจริง มันไม่สมจริง มันอย่างงู้นอย่างงี้ คุณพี่หาเรื่องติกันทุกตอน -*-
อ้อ เรื่องที่ติมากๆอย่างเห็นได้ชัดคือ การทำให้แคเรคเตอร์ของตัวละครหญิงดูงี่เง่า (เ่อ่อ เราก็ว่าจริง เพราะทั้ง MacKenzie ทั้ง Maggie ดูแย่จริงๆ ช่วงต้นๆ มี Sloan รอดอยู่คนเดียว)



Monday, August 6, 2012

ธรรมะจากซีรี่ย์ The Newsroom season 1 episode 7 - 5/1

The Newsroom ตอนนี้เป็นตอนต่อเนื่องจากเหตุการณ์ช็อคโลก 911 เป็นการแถลงข่าวเรื่องจับตายอุซาม่า บินลาเดน

ชอบหลายๆฉากของตอนนี้มาก

ฉากที่ดอน บอกกัปตัน ว่าตัวเค้าและเพื่อนที่ิบินมาด้วยกัน เป็นทีมข่าวของช่องเคเบิ้ล และได้รับข่าวล่วงหน้า ก่อนที่จะมีแถลงอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาวว่า ตอนนี้หน่วยรบพิเศษ ได้ทำการจับตาย บินลาเดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะอุตสาหกรรมการบิน ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของเหตุการณ์ครั้งนั้น

อีกฉากคือ แถลงการณ์จริงๆของโอบาม่า คำพูดอยู่ประโยคนึง ฟังแล้วสะท้อนใจเลย ว่าตอนเหตุการณ์ครั้งนั้น เรานี่คิดได้เลวจริงๆ

คำพูดประโยคนั้นคือ
The children grow up without their mother or father.
เด็กๆที่โตขึ้นมา โดยที่ขาดแม่หรือพ่อ (ซึ่งต้องตายเพราะเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ครั้งนั้น)

พอฟังประโยคนั้นปั๊บ ฉับพลัน สมองมันก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้น ภาพเครื่ิองบินที่บินชนตึก ความรู้สึกสะใจตอนนั้น

ตอนนี้คิดได้แล้ว ตอนนั้นเราบาปจริงๆ ที่คิดแค่ว่าสะใจ

ทั้งๆที่ มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย เหยื่อที่เคราะห์ร้าย กะผู้ก่อการร้ายที่ต้องการแก้แค้น แต่กลับไปลงที่ผู้บริสุทธิ์

สุดท้าย ขอไว้อาลัยแด่การจากไปของเหยื่อผู้บริสุทธิ์กว่าสองพันกว่าคน อย่างเป็นทางการ

ดูซีรี่ย์ก็ยังสามารถหาธรรมะจากมันได้

Friday, July 27, 2012

ตั้งป้อม...

สืบเนื่องจากเรื่องการนับถือศาสนาที่เคยเขียนเอาไว้ ว่าเข้าไปเถียงกะคนที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนา

มาวันนี้มีประเด็นในหว้ากอร้อนๆอีกแล้ว เป็นเรื่องหมอดู ET

ซึ่งเราก็ดันเป็นฝ่ายตั้งป้อมว่าไม่เชื่อหมอดูเหมือนกัน

แต่ก็มีคนที่เคยไปดูมาจริง มาบอกว่าเค้าเชื่อมากๆ พออ่านๆไป รู้สึกว่า เออ มันก็เหมือนในกระทู้นับถือศาสนานั่นแหละ

แต่เราเปลี่ยนข้างมาอยู่ในฝ่ายที่ตั้งป้อมว่าหมอดูหลอกลวงเหมือนกัน

เลยมีความรู้สึกว่า เข้าใจทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายที่ไม่เชื่อ และฝ่ายที่เชื่อ

ต่างคนก็ต่างมีความเชื่อของตนเอง

นั่นก็คือตัวตนของคนๆนั้นที่ยังยึดไว้อยู่นั่นเอง

พอเห็นดังนี้แล้ว ต่อไปเราคงจะยึดน้อยลงไปเอง

Saturday, July 7, 2012

whom or which


MacKenzie: You know, I was watching you earlier 
when you were talking about two companies... Capital One and, um...

- Baxter.

And the prompter said, "both of whom are hinting at good numbers,"

and you said, "both of which are hinting at good numbers."

- Was that an accident?
- No. I didn't write that copy.

I changed it to "which"
because "whom" is for people.


What's the difference between a corporation and a person?

Have you ever held a door open for someone?

Yes.

- Did you ask them for money first?
- No.

- That's the difference.
- That's the right answer.

ที่ยกมาข้างต้นเป็นประโยคที่สนทนากันระหว่างแมคเคนซี่ กะ สโลน จากซีรี่ย์ใหม่หมาดๆ เพราะเพิ่งฉายแค่สองตอน
The Newsroom
เป็นเรื่องเกี่ยวกับเบื้องหลังรายการข่าวภาคค่ำชื่อดัง ของเคเบิ้ลใหญ่ช่องหนึ่ง

บทสนทนานี้เป็นของแมคกะสโลน แมคเป็นโปรดิวเซอร์รายการข่าวภาคค่ำ ยืนดูสโลนที่กำลังรายงานข่าวเศรษฐกิจภาคเช้าอยู่

แล้วถามสโลนว่า ในจอพรอมเตอร์(เป็นจอที่เอาไว้ให้ผู้ประกาศอ่านระหว่างออกอากาศ) เขียนว่า ระหว่างสองบริษัทนี้ ใครจะได้ตัวเลขที่ดีกว่า (ตัวเลขนี่แปลได้หลากหลายมาก ต้องดูบริบทว่ามันจะแปลว่าอะไร)

คือแมคถามสโลนว่าในจออ่ะ มันขึ้นว่า Whom ซึ่งเป็นคำเชื่อมที่ใช้กะบุคคล แต่ทำไมสโลนอ่านออกอากาศว่า Which ซึ่งเป็นคำเชื่อมทีี่ใช้กะสิ่งของ
ถามว่าตั้งใจให้เป็นอย่างงั้นรึเปล่า

สโลนตอบว่า ที่เปลี่ยนจาก whom เป็น Which ก็เพราะว่า whom ใช้กะคน แต่ which ใช้กะสิ่งของ

แมคก็เลยถามต่อว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่าง บริษัทกะบุคคล

สโลนเลยถามแมคว่า คุณเคยเปิดประตูให้ใครมั๊ย
แมคตอบว่า เคย
แล้วคุณเคยขอให้เค้าจ่ายเงินก่อนเปิดประตูรึเปล่า
แมคตอบว่า ไม่เคย
สโลนเลยบอกว่า นั่นแหละ ความแตกต่างระหว่าง บริษัท (ที่คิดถึงแต่เรื่องเงินก่อน) กะบุคคล

ปล. อยากเขียนแนะนำถึง The Newsroom แบบเต็มๆนะ แต่เพิ่งออกมาแค่ 2 ตอนเอง ขอดูสักห้าตอนก่อน แล้วจะมาเขียนแบบเต็มๆ

What do you expect when you're expecting?

ถ้าเป็นคนรู้ภาษาอังกฤษระดับปานกลาง น่าจะแปลว่า "คุณคาดหวังอะไร เวลาที่คุณกำลังคาดหวัง"
ถ้าเป็นคนรู้ภาษาอังกฤษระดับแอดวานซ์หน่อย จะรู้ว่าผิด (อนุญาตให้ยิ้มมุมปาก 1 ที)

จากประโยคขั้นต้นเป็นการเล่นคำว่า expect ซึ่ง แปลว่า คาดหวัง

expect ตัวแรกน่ะใช่ แต่ตัวหลังอ่ะ มันไม่ใช่

มาท้าวความถึงความหมายของคำว่า expect ที่เราคุ้นเคยกันดีกว่า

ตัวอย่างเช่น

Bob มาคุยกะ Lee ที่บ้าน ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น
Bob จึงถาม Lee ว่า "Do you expecting someone?"
ซึ่งแปลได้ว่า มีใครนัดหมายกะคุณไว้รึเปล่า มีคนบอกไว้ก่อนว่าจะมาหาคุณรึเปล่า เป็นต้น

หรืออีกตัวอย่างนึง

ลูกสาวทำหน้ากรุ้มกริ่ม ประมาณว่า จะอ้อนขออะไรจากแม่
แม่ก็ดักคอไว้ก่อน
Do you expecting something from me?

ประมาณว่า แม่รู้นะ ทำแบบนี้ อยากได้อะไรใช่มั๊ย

เห็นมั๊ย จากสองตัวอย่าง ความหมายมันไปในทางเดียวกัน

แต่มันก็ไม่ใช่ความหมายจากหัวข้อบลอกอันนี้อยู่ดี

สองวันก่อน กำลังเอนจอยกะการอ่านข่าวทั้งหลายจาก Flipboard ก็มีข่าวอะเดล ขึ้นหัวข้อข่าว ความว่า
"Adele expecting first child"

วันถัดมา ก็มีข่าวว่า "Clair expecting first child"

จากที่อ่านหัวข้อข่าวก็นึกว่า เออ เค้าหวังจะมีลูกคนแรก
ก็คิดมาแบบนี้ตลอด
จนมาอ่านที่มีคนแปลข่าวว่า "กำลังตั้งท้องลูกคนแรก"

อ่านแล้วเหวอเลย ไอ้ที่คิดว่าเราแปลถูก นี่ผิดไปคนละความหมายเลย

เราแปลว่า เค้าคิดจะมีลูก แต่ในความจริงคือ กำลังตั้งท้องอยู่ อูว์ .. ความรู้ใหม่สุดๆ

เพราะคำว่าท้อง คนไทยจะคุ้นกันอยู่คำเดียวคือ pregnant แปลว่าตั้งครรภ์

เวลาใช้ก็จะประมาณว่า I'm pregnant.

หรือพวกตรวจการตั้งครรภ์ เค้าจะใช้คำว่า Pregnancy test

ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า expecting แปลว่ากำลังตั้งท้อง ความหมายมันเกือบจะได้ แต่มันไม่ได้อ๊ะ

วกกลับมาที่หัวข้อบลอก
What do you expect when you're expecting เป็นชื่อหนังสือขายดีอย่างยาวนานของอเมริกา และตอนนี้ทำเป็นหนังและกำลังฉายอยู่ในโรงขณะนี้ (แต่ไม่รู้ออกไปรึยัง)


ที่รู้เพราะดูซีรี่ย์ the practice ตอนที่อิลินอร์สั่งหนังสือเล่มนี้มา แล้วคนที่ทำธุรการจำชื่อไม่ได้ คิดว่าเป็นของลินเซ่ย์ แต่อิลินอร์บอกเค้ากำลังตั้งท้องอยู่ 

คือถ้าไปเมกา ก็อย่าถือหนังสือเล่มนี้ เดี๋ยวคนจะคิดว่ากำลังท้องอยู่ เพราะเหมือนคนท้องทุกคนต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เลย

ก็ขนาดขึ้นอันดับหนังสือขายดีอย่างยาวนาน เกือบจะซื้อมาอ่านเหมือนกัน แต่พอรู้ว่า มันสำหรับคนท้องอ่าน เลยคิดว่า อย่าอ่านเลย คงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน ฮ่าๆ ฮาเงิบ...

Sunday, July 1, 2012

คนเราจำเป็นต้องนับถือศาสนาหรือไม่?

ตามกระทู้นี้มาสองวัน

สรุปอย่างย่อๆ จขกทเค้าถามว่า มันผิดไหม ถ้าเค้าจะไม่นับถือศาสนาใดๆเลย
และมีไหมที่คนไม่นับถือศาสนาจะมีชีวิตอย่างเป็นสุขและอยู่อย่างสบาย (เงินทองไม่ขาดมือว่างั้นเหอะ)

ไอ้ประเด็นหลังไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึง

ประเด็นคือ ความเห็นนี้น่าสนใจมาก



คนเราดีได้โดยที่ไม่ต้องมีศาสนา ที่จริงคนจะดีอย่างแท้จริงได้ต้องไม่มีศาสนา การมีศาสนามาออกบทลงโทษหรือรางวัล มันก็แค่ทำให้คนเห็นแก่ตัวแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา เพียงแต่เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวกว่าที่จะได้เฉพาะหน้าก็เท่านั้น น้องยังคงไม่เข้าใจ ก็แนะนำไปแล้วว่าอย่าใช้หนังทีนคิด


จากคุณ : tiktaalik
เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 14:08:17 A:58.9.221.166 X: TicketID:287399



คหนี้แหละที่น่าสนใจ 

และความเห็นอื่นๆของเค้ายังมีอีก ที่บอกว่า ศาสนา ต้องสืบต่อเพื่อไม่ให้มันหายไป
ถ้าสังคมมีแต่ความสุข วันนั้นศาสนาจะหายไป เพราะคนไม่ต้องพึ่งศาสนาอีกแล้ว 

พยายามจะเรียบเรียงความคิดตัวเอง ว่าทำไมศาสนาถึงสำคัญ 

ประมาณปีที่แล้วได้อ่านกระทู้หว้ากอกระทู้นึง 

มีความเห็นนึง ตอบประโยคที่น่าสนใจมาก 

เค้าบอกว่า 

ปลาทองมันว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลา มันไม่รู้ตัวหรอกว่าน้ำที่ตัวเองว่ายวนไปวนมานั้นมันคือในตู้ปลา 

จนมีปลาทองตัวนึง มันกระโดดออกไปนอกตู้ปลา แล้วก็เห็นว่าเพื่อนปลาทองของเรา กำลังว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลา 

มันเลยตะโกนเข้าไปบอกเพื่อนว่า "เฮ้ยพวกนาย กำลังว่ายวนไปมาอยู่ในตู้ปลานะโว้ย มันไม่ใช่ทะเลหรือแม่น้ำกว้างใหญ่ อย่างที่พวกนายคิด"

ตอนอ่านเจอครั้งแรก ปิ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง 
ต้องเล่าก่อนว่า น้องสาวมันทิ้งปลาทองตัวนึง ไว้ให้น้องอีกคนเลี้ยง เพราะตัวมันต้องไปอยู่เมืองนอก
ทุกครั้งที่เห็นปลาทองตัวนั้น มันว่ายวนไปวนมาในตู้ปลาอันแสนแคบของมัน น้ำตามันพาลจะไหลทุกที เพราะสงสารมัน 

แต่พออ่านความเห็นนี้เข้า ถึงกับปิ๊ง เฮ้ย เราไปคิดแทนปลาทองนี่หว่า ปลาทองมันคงไม่รู้ตัวหรอกว่ามันว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลาน่ะ 

แต่.. ยังไม่จบเท่านั้น 

คำพูดที่ว่า ปลาทองตัวนึง ตะโกนเข้าไปบอกปลาทองที่อยู่ในตู้ว่า พวกมันกำลังว่ายอยู่ในตู้ปลา 
มันคือคำพูดที่แฝงนัยยะว่า 

คนเรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ (เหมือนกะบรรดาปลาทองในตู้พวกนั้น) 
แต่มีปลาตัวนึง ที่สามารถกระโดดออกไปนอกตู้ปลาได้ และเห็นว่า เพื่อนปลาทองของเรานั้น ว่ายวนไปวนมานี่หว่า 
ปลาทองตัวที่กระโดดออกไปนอกตู้ปลาได้ ก็เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้ความจริงแท้ แล้วประกาศให้ปลาทองตัวอื่นๆ(ก็คือคนเรานั่นล่ะ) รู้ว่า เรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นะ ยังว่ายวนไปวนมาอยู่ 

เนี่ยคือคำพูดจุดประกายที่ทำให้ศึกษาธรรมะให้ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่แค่ศาสนาที่เขียนอยู่ตามหน้าบัตรประชาชนเท่านั้น 

เริ่มจากอ่านแนวคิดของเซนก่อน อ่านแล้วชอบ ก็ต่อด้วยพุทธธรรมเลย เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าอะไรอยู่ในพระไตรปิฎก และพุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ ก็ขยายความให้คนที่ความรู้เรื่องศาสนาพุทธไม่ได้ลึกซึ้งอะไร เข้าใจได้ง่ายขึ้น 

คำตอบที่เราอยากจะตอบความเห็นที่ยกมาข้างต้นคือ 

ศาสนาไม่ได้มีแค่ต้องการให้คนเป็นคนดี ถ้าคุณต้องการให้สังคมสงบสุขและเรียบร้อย คุณไม่ต้องให้คนนับถือศาสนาหรอก 
คุณแค่ออกกฎหมายมาควบคุมประชาชนก็พอแล้ว 

เพราะถ้าแค่คนจะดีไม่ต้องพึ่งศาสนา แค่มีกฎหมายก็พอ อันนี้ถูกต้อง 

แต่ สิ่งที่คนเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังว่ายอยู่ในอ่างปลานั่นอ่ะ มันคือหัวใจของศาสนา มันคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าพบคำตอบจริงๆ ท่านจึงประกาศออกมา 

ความสุขที่คนเราเสพกันอยู่ทุกวันนี้ มันคือกามสุข ความสุขอย่างหยาบ 
ลองตรึกตรองดูดีๆ วันนี้ชีวิตคุณมีความสุขดี ร่างกายแข็งแรง มีอาหารกินครบสมบูรณ์ทุกมื้อ มีคนรักที่เข้าใจกันดี 
คุณมีความสุขใช่มั๊ย 

แต่ถ้าวันนึง คุณเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา เจ็บป่วยอย่างยาวนาน ระหว่างรักษาก็เจ็บตัว เหนื่อย เสียเงินทอง คุณเริ่มทุกข์แล้วใช่มั๊ย 

เพราะคุณไม่เคยเตรียมตัวที่จะเจอความทุกข์ คุณก็ยิ่งทุกข์มาก ถูกมั๊ย 

ซึ่งตรงนี้ สิ่งที่มาเติมเต็มคุณ คือศาสนา เพราะแค่กฎหมาย มันไม่ทำให้คุณพ้นจากความทุกข์แน่นอน 

และสิ่งที่พระุพุทธเจ้า ประกาศให้สาวกรู้คืออะไร 

ท่านพูดว่า ความจริงแท้ คือ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แต่มนุษย์ก็ยังยึดความไม่แน่นอนนั้นเป็นสรณะ 

มนุษย์ยึดทุกอย่าง 

ทรัพย์สิน เงินทอง , คนรัก , อุดมการณ์ , ศักดิ์ศรี และ ฯลฯ อะไรที่นึกออก คุณกำลังยึดทุกอย่าง 

ซึ่งทุกอย่างที่คุณกำลังยึดมันไว้ มันไม่จีรังยั่งยืน 

พอมันเปลี่ยนแปลงไป มันหายไป มันตายไป คุณก็ทุกข์ คุณทุกข์ เพราะคุณยึด 

พระพุทธเจ้าจึงบอกให้เราพยายามละมันซะ ละมันไป อย่าไปยึดติดกับมัน 

เมื่อใดที่คุณทำได้ คุณจะพบความสุขที่มันเหนือกามสุข 

ซึ่งเราก็รอให้ถึงวันที่เราจะพบกับความสุขอย่างละเอียดแบบนั้นเช่นกัน 

สิ่งนึงที่คนสงสัยในศาสนา ก็คือพิธีกรรมต่างๆ ทำบุญ ตักบาตร 

สิ่งที่เราไม่ทำ 
1. เราไม่เคยตื่นมาใส่บาตรในวันเกิด
2. พวกชวนทำบุญตามบ้าน เราไม่เคยทำสักครั้ง
3. เราไม่สวดมนต์ บทสวดมนต์อย่างง่ายเรายังลืมเลย 

สิ่งที่เราทำ 
พยายามมีสติกะทุกวินาทีของชีวิต บางทีมันก็หลุดมั่ง ก็พยายามดึงสติกลับมา 
แล้วบางเวลาที่รู้สึกว่าสตินิ่ง เราจะมีสมาธิ และสมาธินี่แหละ ที่ทำให้เราได้พิจารณาอะไรที่มันละเอียดๆจริงๆ 

เวลาไหนที่ทำได้ถึงขั้นนี้ มันจะรู้สึกสงบอย่างประหลาด 
(ไม่นั่งสมาธินะ ถ้าว่างจริงๆ มีเวลาถึงจะนั่ง) 

เอาเวลาที่ทำงานบ้านในชีวิตประจำวันนี่แหละ พยายามให้มีสติกะทุกความเคลื่อนไหวของร่างกาย 
แล้วก็พิจารณามันไป 


สิ่งที่ได้จากสติคือ จิตใจเราจะไม่วอกแว่ก ไปกะอดีต หรือความกลัวของอนาคต เราจะนิ่ง แล้วพิจารณาสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วกิเลสมันจะหายไปเอง 

จากแต่ก่อน เคยอ่านที่พวกนั่งสมาธิคุยกันนะ ความรู้สึกคือ "ประสาท คุยไรกันไม่เข้าใจ" 
ตอนนี้เรารู้สึกว่า เรากำลังเข้าพวกกะคนที่เราเคยด่าอยู่ 

เราถึงถามว่า คุณเคยปฏิบัติจริงจังรึยัง ถึงบอกว่ามันไม่ดี