Friday, July 27, 2012

ตั้งป้อม...

สืบเนื่องจากเรื่องการนับถือศาสนาที่เคยเขียนเอาไว้ ว่าเข้าไปเถียงกะคนที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนา

มาวันนี้มีประเด็นในหว้ากอร้อนๆอีกแล้ว เป็นเรื่องหมอดู ET

ซึ่งเราก็ดันเป็นฝ่ายตั้งป้อมว่าไม่เชื่อหมอดูเหมือนกัน

แต่ก็มีคนที่เคยไปดูมาจริง มาบอกว่าเค้าเชื่อมากๆ พออ่านๆไป รู้สึกว่า เออ มันก็เหมือนในกระทู้นับถือศาสนานั่นแหละ

แต่เราเปลี่ยนข้างมาอยู่ในฝ่ายที่ตั้งป้อมว่าหมอดูหลอกลวงเหมือนกัน

เลยมีความรู้สึกว่า เข้าใจทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายที่ไม่เชื่อ และฝ่ายที่เชื่อ

ต่างคนก็ต่างมีความเชื่อของตนเอง

นั่นก็คือตัวตนของคนๆนั้นที่ยังยึดไว้อยู่นั่นเอง

พอเห็นดังนี้แล้ว ต่อไปเราคงจะยึดน้อยลงไปเอง

Saturday, July 7, 2012

whom or which


MacKenzie: You know, I was watching you earlier 
when you were talking about two companies... Capital One and, um...

- Baxter.

And the prompter said, "both of whom are hinting at good numbers,"

and you said, "both of which are hinting at good numbers."

- Was that an accident?
- No. I didn't write that copy.

I changed it to "which"
because "whom" is for people.


What's the difference between a corporation and a person?

Have you ever held a door open for someone?

Yes.

- Did you ask them for money first?
- No.

- That's the difference.
- That's the right answer.

ที่ยกมาข้างต้นเป็นประโยคที่สนทนากันระหว่างแมคเคนซี่ กะ สโลน จากซีรี่ย์ใหม่หมาดๆ เพราะเพิ่งฉายแค่สองตอน
The Newsroom
เป็นเรื่องเกี่ยวกับเบื้องหลังรายการข่าวภาคค่ำชื่อดัง ของเคเบิ้ลใหญ่ช่องหนึ่ง

บทสนทนานี้เป็นของแมคกะสโลน แมคเป็นโปรดิวเซอร์รายการข่าวภาคค่ำ ยืนดูสโลนที่กำลังรายงานข่าวเศรษฐกิจภาคเช้าอยู่

แล้วถามสโลนว่า ในจอพรอมเตอร์(เป็นจอที่เอาไว้ให้ผู้ประกาศอ่านระหว่างออกอากาศ) เขียนว่า ระหว่างสองบริษัทนี้ ใครจะได้ตัวเลขที่ดีกว่า (ตัวเลขนี่แปลได้หลากหลายมาก ต้องดูบริบทว่ามันจะแปลว่าอะไร)

คือแมคถามสโลนว่าในจออ่ะ มันขึ้นว่า Whom ซึ่งเป็นคำเชื่อมที่ใช้กะบุคคล แต่ทำไมสโลนอ่านออกอากาศว่า Which ซึ่งเป็นคำเชื่อมทีี่ใช้กะสิ่งของ
ถามว่าตั้งใจให้เป็นอย่างงั้นรึเปล่า

สโลนตอบว่า ที่เปลี่ยนจาก whom เป็น Which ก็เพราะว่า whom ใช้กะคน แต่ which ใช้กะสิ่งของ

แมคก็เลยถามต่อว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่าง บริษัทกะบุคคล

สโลนเลยถามแมคว่า คุณเคยเปิดประตูให้ใครมั๊ย
แมคตอบว่า เคย
แล้วคุณเคยขอให้เค้าจ่ายเงินก่อนเปิดประตูรึเปล่า
แมคตอบว่า ไม่เคย
สโลนเลยบอกว่า นั่นแหละ ความแตกต่างระหว่าง บริษัท (ที่คิดถึงแต่เรื่องเงินก่อน) กะบุคคล

ปล. อยากเขียนแนะนำถึง The Newsroom แบบเต็มๆนะ แต่เพิ่งออกมาแค่ 2 ตอนเอง ขอดูสักห้าตอนก่อน แล้วจะมาเขียนแบบเต็มๆ

What do you expect when you're expecting?

ถ้าเป็นคนรู้ภาษาอังกฤษระดับปานกลาง น่าจะแปลว่า "คุณคาดหวังอะไร เวลาที่คุณกำลังคาดหวัง"
ถ้าเป็นคนรู้ภาษาอังกฤษระดับแอดวานซ์หน่อย จะรู้ว่าผิด (อนุญาตให้ยิ้มมุมปาก 1 ที)

จากประโยคขั้นต้นเป็นการเล่นคำว่า expect ซึ่ง แปลว่า คาดหวัง

expect ตัวแรกน่ะใช่ แต่ตัวหลังอ่ะ มันไม่ใช่

มาท้าวความถึงความหมายของคำว่า expect ที่เราคุ้นเคยกันดีกว่า

ตัวอย่างเช่น

Bob มาคุยกะ Lee ที่บ้าน ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น
Bob จึงถาม Lee ว่า "Do you expecting someone?"
ซึ่งแปลได้ว่า มีใครนัดหมายกะคุณไว้รึเปล่า มีคนบอกไว้ก่อนว่าจะมาหาคุณรึเปล่า เป็นต้น

หรืออีกตัวอย่างนึง

ลูกสาวทำหน้ากรุ้มกริ่ม ประมาณว่า จะอ้อนขออะไรจากแม่
แม่ก็ดักคอไว้ก่อน
Do you expecting something from me?

ประมาณว่า แม่รู้นะ ทำแบบนี้ อยากได้อะไรใช่มั๊ย

เห็นมั๊ย จากสองตัวอย่าง ความหมายมันไปในทางเดียวกัน

แต่มันก็ไม่ใช่ความหมายจากหัวข้อบลอกอันนี้อยู่ดี

สองวันก่อน กำลังเอนจอยกะการอ่านข่าวทั้งหลายจาก Flipboard ก็มีข่าวอะเดล ขึ้นหัวข้อข่าว ความว่า
"Adele expecting first child"

วันถัดมา ก็มีข่าวว่า "Clair expecting first child"

จากที่อ่านหัวข้อข่าวก็นึกว่า เออ เค้าหวังจะมีลูกคนแรก
ก็คิดมาแบบนี้ตลอด
จนมาอ่านที่มีคนแปลข่าวว่า "กำลังตั้งท้องลูกคนแรก"

อ่านแล้วเหวอเลย ไอ้ที่คิดว่าเราแปลถูก นี่ผิดไปคนละความหมายเลย

เราแปลว่า เค้าคิดจะมีลูก แต่ในความจริงคือ กำลังตั้งท้องอยู่ อูว์ .. ความรู้ใหม่สุดๆ

เพราะคำว่าท้อง คนไทยจะคุ้นกันอยู่คำเดียวคือ pregnant แปลว่าตั้งครรภ์

เวลาใช้ก็จะประมาณว่า I'm pregnant.

หรือพวกตรวจการตั้งครรภ์ เค้าจะใช้คำว่า Pregnancy test

ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า expecting แปลว่ากำลังตั้งท้อง ความหมายมันเกือบจะได้ แต่มันไม่ได้อ๊ะ

วกกลับมาที่หัวข้อบลอก
What do you expect when you're expecting เป็นชื่อหนังสือขายดีอย่างยาวนานของอเมริกา และตอนนี้ทำเป็นหนังและกำลังฉายอยู่ในโรงขณะนี้ (แต่ไม่รู้ออกไปรึยัง)


ที่รู้เพราะดูซีรี่ย์ the practice ตอนที่อิลินอร์สั่งหนังสือเล่มนี้มา แล้วคนที่ทำธุรการจำชื่อไม่ได้ คิดว่าเป็นของลินเซ่ย์ แต่อิลินอร์บอกเค้ากำลังตั้งท้องอยู่ 

คือถ้าไปเมกา ก็อย่าถือหนังสือเล่มนี้ เดี๋ยวคนจะคิดว่ากำลังท้องอยู่ เพราะเหมือนคนท้องทุกคนต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เลย

ก็ขนาดขึ้นอันดับหนังสือขายดีอย่างยาวนาน เกือบจะซื้อมาอ่านเหมือนกัน แต่พอรู้ว่า มันสำหรับคนท้องอ่าน เลยคิดว่า อย่าอ่านเลย คงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน ฮ่าๆ ฮาเงิบ...

Sunday, July 1, 2012

คนเราจำเป็นต้องนับถือศาสนาหรือไม่?

ตามกระทู้นี้มาสองวัน

สรุปอย่างย่อๆ จขกทเค้าถามว่า มันผิดไหม ถ้าเค้าจะไม่นับถือศาสนาใดๆเลย
และมีไหมที่คนไม่นับถือศาสนาจะมีชีวิตอย่างเป็นสุขและอยู่อย่างสบาย (เงินทองไม่ขาดมือว่างั้นเหอะ)

ไอ้ประเด็นหลังไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึง

ประเด็นคือ ความเห็นนี้น่าสนใจมาก



คนเราดีได้โดยที่ไม่ต้องมีศาสนา ที่จริงคนจะดีอย่างแท้จริงได้ต้องไม่มีศาสนา การมีศาสนามาออกบทลงโทษหรือรางวัล มันก็แค่ทำให้คนเห็นแก่ตัวแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา เพียงแต่เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวกว่าที่จะได้เฉพาะหน้าก็เท่านั้น น้องยังคงไม่เข้าใจ ก็แนะนำไปแล้วว่าอย่าใช้หนังทีนคิด


จากคุณ : tiktaalik
เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 14:08:17 A:58.9.221.166 X: TicketID:287399



คหนี้แหละที่น่าสนใจ 

และความเห็นอื่นๆของเค้ายังมีอีก ที่บอกว่า ศาสนา ต้องสืบต่อเพื่อไม่ให้มันหายไป
ถ้าสังคมมีแต่ความสุข วันนั้นศาสนาจะหายไป เพราะคนไม่ต้องพึ่งศาสนาอีกแล้ว 

พยายามจะเรียบเรียงความคิดตัวเอง ว่าทำไมศาสนาถึงสำคัญ 

ประมาณปีที่แล้วได้อ่านกระทู้หว้ากอกระทู้นึง 

มีความเห็นนึง ตอบประโยคที่น่าสนใจมาก 

เค้าบอกว่า 

ปลาทองมันว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลา มันไม่รู้ตัวหรอกว่าน้ำที่ตัวเองว่ายวนไปวนมานั้นมันคือในตู้ปลา 

จนมีปลาทองตัวนึง มันกระโดดออกไปนอกตู้ปลา แล้วก็เห็นว่าเพื่อนปลาทองของเรา กำลังว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลา 

มันเลยตะโกนเข้าไปบอกเพื่อนว่า "เฮ้ยพวกนาย กำลังว่ายวนไปมาอยู่ในตู้ปลานะโว้ย มันไม่ใช่ทะเลหรือแม่น้ำกว้างใหญ่ อย่างที่พวกนายคิด"

ตอนอ่านเจอครั้งแรก ปิ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง 
ต้องเล่าก่อนว่า น้องสาวมันทิ้งปลาทองตัวนึง ไว้ให้น้องอีกคนเลี้ยง เพราะตัวมันต้องไปอยู่เมืองนอก
ทุกครั้งที่เห็นปลาทองตัวนั้น มันว่ายวนไปวนมาในตู้ปลาอันแสนแคบของมัน น้ำตามันพาลจะไหลทุกที เพราะสงสารมัน 

แต่พออ่านความเห็นนี้เข้า ถึงกับปิ๊ง เฮ้ย เราไปคิดแทนปลาทองนี่หว่า ปลาทองมันคงไม่รู้ตัวหรอกว่ามันว่ายวนไปวนมาอยู่ในตู้ปลาน่ะ 

แต่.. ยังไม่จบเท่านั้น 

คำพูดที่ว่า ปลาทองตัวนึง ตะโกนเข้าไปบอกปลาทองที่อยู่ในตู้ว่า พวกมันกำลังว่ายอยู่ในตู้ปลา 
มันคือคำพูดที่แฝงนัยยะว่า 

คนเรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ (เหมือนกะบรรดาปลาทองในตู้พวกนั้น) 
แต่มีปลาตัวนึง ที่สามารถกระโดดออกไปนอกตู้ปลาได้ และเห็นว่า เพื่อนปลาทองของเรานั้น ว่ายวนไปวนมานี่หว่า 
ปลาทองตัวที่กระโดดออกไปนอกตู้ปลาได้ ก็เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้ความจริงแท้ แล้วประกาศให้ปลาทองตัวอื่นๆ(ก็คือคนเรานั่นล่ะ) รู้ว่า เรากำลังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นะ ยังว่ายวนไปวนมาอยู่ 

เนี่ยคือคำพูดจุดประกายที่ทำให้ศึกษาธรรมะให้ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่แค่ศาสนาที่เขียนอยู่ตามหน้าบัตรประชาชนเท่านั้น 

เริ่มจากอ่านแนวคิดของเซนก่อน อ่านแล้วชอบ ก็ต่อด้วยพุทธธรรมเลย เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าอะไรอยู่ในพระไตรปิฎก และพุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ ก็ขยายความให้คนที่ความรู้เรื่องศาสนาพุทธไม่ได้ลึกซึ้งอะไร เข้าใจได้ง่ายขึ้น 

คำตอบที่เราอยากจะตอบความเห็นที่ยกมาข้างต้นคือ 

ศาสนาไม่ได้มีแค่ต้องการให้คนเป็นคนดี ถ้าคุณต้องการให้สังคมสงบสุขและเรียบร้อย คุณไม่ต้องให้คนนับถือศาสนาหรอก 
คุณแค่ออกกฎหมายมาควบคุมประชาชนก็พอแล้ว 

เพราะถ้าแค่คนจะดีไม่ต้องพึ่งศาสนา แค่มีกฎหมายก็พอ อันนี้ถูกต้อง 

แต่ สิ่งที่คนเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังว่ายอยู่ในอ่างปลานั่นอ่ะ มันคือหัวใจของศาสนา มันคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าพบคำตอบจริงๆ ท่านจึงประกาศออกมา 

ความสุขที่คนเราเสพกันอยู่ทุกวันนี้ มันคือกามสุข ความสุขอย่างหยาบ 
ลองตรึกตรองดูดีๆ วันนี้ชีวิตคุณมีความสุขดี ร่างกายแข็งแรง มีอาหารกินครบสมบูรณ์ทุกมื้อ มีคนรักที่เข้าใจกันดี 
คุณมีความสุขใช่มั๊ย 

แต่ถ้าวันนึง คุณเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา เจ็บป่วยอย่างยาวนาน ระหว่างรักษาก็เจ็บตัว เหนื่อย เสียเงินทอง คุณเริ่มทุกข์แล้วใช่มั๊ย 

เพราะคุณไม่เคยเตรียมตัวที่จะเจอความทุกข์ คุณก็ยิ่งทุกข์มาก ถูกมั๊ย 

ซึ่งตรงนี้ สิ่งที่มาเติมเต็มคุณ คือศาสนา เพราะแค่กฎหมาย มันไม่ทำให้คุณพ้นจากความทุกข์แน่นอน 

และสิ่งที่พระุพุทธเจ้า ประกาศให้สาวกรู้คืออะไร 

ท่านพูดว่า ความจริงแท้ คือ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แต่มนุษย์ก็ยังยึดความไม่แน่นอนนั้นเป็นสรณะ 

มนุษย์ยึดทุกอย่าง 

ทรัพย์สิน เงินทอง , คนรัก , อุดมการณ์ , ศักดิ์ศรี และ ฯลฯ อะไรที่นึกออก คุณกำลังยึดทุกอย่าง 

ซึ่งทุกอย่างที่คุณกำลังยึดมันไว้ มันไม่จีรังยั่งยืน 

พอมันเปลี่ยนแปลงไป มันหายไป มันตายไป คุณก็ทุกข์ คุณทุกข์ เพราะคุณยึด 

พระพุทธเจ้าจึงบอกให้เราพยายามละมันซะ ละมันไป อย่าไปยึดติดกับมัน 

เมื่อใดที่คุณทำได้ คุณจะพบความสุขที่มันเหนือกามสุข 

ซึ่งเราก็รอให้ถึงวันที่เราจะพบกับความสุขอย่างละเอียดแบบนั้นเช่นกัน 

สิ่งนึงที่คนสงสัยในศาสนา ก็คือพิธีกรรมต่างๆ ทำบุญ ตักบาตร 

สิ่งที่เราไม่ทำ 
1. เราไม่เคยตื่นมาใส่บาตรในวันเกิด
2. พวกชวนทำบุญตามบ้าน เราไม่เคยทำสักครั้ง
3. เราไม่สวดมนต์ บทสวดมนต์อย่างง่ายเรายังลืมเลย 

สิ่งที่เราทำ 
พยายามมีสติกะทุกวินาทีของชีวิต บางทีมันก็หลุดมั่ง ก็พยายามดึงสติกลับมา 
แล้วบางเวลาที่รู้สึกว่าสตินิ่ง เราจะมีสมาธิ และสมาธินี่แหละ ที่ทำให้เราได้พิจารณาอะไรที่มันละเอียดๆจริงๆ 

เวลาไหนที่ทำได้ถึงขั้นนี้ มันจะรู้สึกสงบอย่างประหลาด 
(ไม่นั่งสมาธินะ ถ้าว่างจริงๆ มีเวลาถึงจะนั่ง) 

เอาเวลาที่ทำงานบ้านในชีวิตประจำวันนี่แหละ พยายามให้มีสติกะทุกความเคลื่อนไหวของร่างกาย 
แล้วก็พิจารณามันไป 


สิ่งที่ได้จากสติคือ จิตใจเราจะไม่วอกแว่ก ไปกะอดีต หรือความกลัวของอนาคต เราจะนิ่ง แล้วพิจารณาสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วกิเลสมันจะหายไปเอง 

จากแต่ก่อน เคยอ่านที่พวกนั่งสมาธิคุยกันนะ ความรู้สึกคือ "ประสาท คุยไรกันไม่เข้าใจ" 
ตอนนี้เรารู้สึกว่า เรากำลังเข้าพวกกะคนที่เราเคยด่าอยู่ 

เราถึงถามว่า คุณเคยปฏิบัติจริงจังรึยัง ถึงบอกว่ามันไม่ดี